การบริหารเวลาของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของงานในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4
คำสำคัญ:
การบริหารเวลา, ผู้บริหารสถานศึกษา, ประสิทธิภาพบทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การบริหารเวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริหารสามารถวางแผน ควบคุม และดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ภาระงานที่หลากหลายในโรงเรียน การใช้เวลาที่เหมาะสมจึงส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและความสำเร็จของการดำเนินงานในสถานศึกษา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารเวลาของผู้บริหารในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของงานในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 และ 3) เพื่อศึกษาการบริหารเวลาของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของงานในโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4
ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 จำนวน 302 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณแบบขั้นตอน
ผลการวิจัย: พบว่า 1) การบริหารเวลาของผู้บริหารในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตัวแปรรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากที่สุดจำนวน 2 ด้าน และอยู่ในระดับมากจำนวน 4 ด้าน ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการจัดลำดับของกิจกรรม รองลงมาคือ ด้านการจัดทำปฏิทินงาน และต่ำที่สุดคือ ด้านการรู้จักปฏิเสธ 2) ประสิทธิภาพของงานในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาตัวแปรรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุดจำนวน 3 ด้าน และอยู่ในระดับมากจำนวน 1 ด้าน ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านเวลา รองลงมาคือ ด้านปริมาณงานและด้านค่าใช้จ่าย และต่ำที่สุด คือ ด้านคุณภาพของงาน และ 3) การบริหารเวลาของผู้บริหารส่งผลต่อประสิทธิภาพของงานในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .01
สรุปผล: ผู้บริหารในโรงเรียนมีการบริหารเวลาอยู่ในระดับดี โดยเฉพาะด้านการวางแผนและการจัดลำดับกิจกรรม ส่งผลให้ประสิทธิภาพของงานในโรงเรียนโดยรวมอยู่ในระดับสูง ทั้งด้านเวลา ปริมาณงาน และค่าใช้จ่าย แม้ยังมีจุดอ่อนในด้านคุณภาพงานและการรู้จักปฏิเสธงานที่ไม่จำเป็น แต่ภาพรวมแสดงให้เห็นว่าการบริหารเวลาที่เหมาะสมของผู้บริหารส่งผลต่อการดำเนินงานของโรงเรียนอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ ทั้งนี้ หากผู้บริหารสามารถเสริมสร้างสมดุลระหว่างความรับผิดชอบและการใช้เวลาที่เหมาะสมได้อย่างแท้จริง จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาและลดภาระงานซ้ำซ้อนในโรงเรียนได้อย่างมีนัยสำคัญ
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2563). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (ฉบับอัปเดต). สืบค้นจาก https://www.moe.go.th/backend/wp-content/uploads/2020/10/1.-พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ-พ.ศ.2542-ฉ.อัพเดท.pdf
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ. (7 เมษายน 2560). รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. เรียกใช้เมื่อ สิงหาคม 2567 จาก คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ: https://cdc.parliament.go.th/draftconstitution2/more_news.php?cid=87
ธัณฐภรณ์ สิมมา. (2561). การบริหารเวลากับประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐม เขต 1 (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร.
เฉลี่ย อุปภา. (2559). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากร สังกัดสํานักบริการการศึกษามหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (สารนิพนธ์ปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4. (2566). ประกาศนโยบายและจุดเน้นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4.
https://www.pnst4.go.th/index.php?name=blog&file=readblog&id=84
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต 4. (2566). รายงานผลการดำเนินงานปีงบประมาณ 2566. https://nst4.go.th/data_19527
ภูวนัย เกษบุญชู. (2550). ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการกองทัพเรือ ศึกษากรณีข้าราชการสังกัดกองเรือภาคที่ 1. (สารนิพนธ์ปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยบูรพา.
วฤษาย์ เลิศศิริ, & จุฬาลักษณ์ โสระพันธ์. (2565). การบริหารเวลาของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 2. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยหาดใหญ่, 10(1), 45–56.
https://so02.tci-thaijo.org/index.php/isshmu/article/view/256600/173864
Adams, D., & Gamage, D. T. (2008). A study of leadership effectiveness in a large VET institution in Australia. International Journal of Educational Management, 22(3), 214–228.
Bond, F. W., & Bunce, D. (2003). The role of acceptance and job control in mental health,job satisfaction, and work performance. Journal of Applied Psychology, 88(6),1057–1067.
https://doi.org/10.1037/0021-9010.88.6.1057
Claessens, B. J. C., van Eerde, W., Rutte, C. G., & Roe, R. A. (2007). A review of the time management literature. Personnel Review, 36(2), 255–276.
Covey, S. R. (1989). The 7 habits of highly effective people: Powerful lessons in personal change. Free Press.
Drucker, P. F. (1967). The effective executive. Harper & Row.
Forsyth, A., & Krizek, K. J. (2010). Promoting walking and bicycling: Assessing the evidence to assist planners. Built Environment, 36(4), 429–446.
https://doi.org/10.2148/benv.36.4.429
Gannon, M. (1982). Management: An integrated framework (2nd ed). Boston: Little & Brown.
Hellriegel, D., & Slocum, J. W. (2011). Organizational behavior (13th ed.). South-Western Cengage Learning.
John, W. B. (1970). Research in education (3rd ed.). Prentice–Hall Inc.
Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1970). Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607–610.
Masterton, A. (1997). Getting results with time management. Facet Publishing.
Northouse, P. G. (2016). Leadership: Theory and practice (7th ed.). Sage Publications.
Peterson, E., & Plowman, E. G. (1989). Business organization and management. Richard D. Irwin.
Robinson, V. M. J., Lloyd, C., & Rowe, K. (2008). The impact of leadership on student outcomes: An analysis of the differential effects of leadership types. Educational Administration Quarterly, 44(5), 635–674. https://doi.org/10.1177/0013161X08321509
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Journal for Developing the Social and Community

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์เป็นของผู้ประพันธ์บทความ
