การศึกษาความรู้สึกเชิงจำนวนกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
คำสำคัญ:
ความรู้สึกเชิงจำนวน, การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความรู้สึกเชิงจำนวนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2) ศึกษาการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกเชิงจำนวนกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนท่าขอนยางพิทยาคม อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 55 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบความรู้สึกเชิงจำนวน แบบทดสอบการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเกี่ยวกับความรู้สึกเชิงจำนวนกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์เชิงพรรณนา (Descriptive Analytics)
ผลการวิจัย พบว่า 1) ความรู้สึกเชิงจำนวนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 45.45 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าความรู้สึกเชิงจำนวนด้านความหมายของจำนวนอยู่ในระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 45.45 ความรู้สึกเชิงจำนวนด้านขนาดสัมพันธ์ของจำนวน และความรู้สึกเชิงจำนวนด้านผลสัมพันธ์ของการดำเนินการต่างๆ ของจำนวน อยู่ในระดับปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 47.27 และร้อยละ 45.45 ตามลำดับ 2) การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ส่วนใหญ่อยู่ในระดับดี คิดเป็นร้อยละ 45.45 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกเชิงจำนวนกับการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์มีความสัมพันธ์กันในระดับสูง โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .965 และมีความสัมพันธ์กันเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และจากการสัมภาษณ์พบว่า นักเรียนที่มีความรู้สึกเชิงจำนวนอยู่ในระดับสูง มีความมั่นใจในการตอบคำถาม วิเคราะห์โจทย์ได้ชัดเจน สามารถบอกได้ว่าโจทย์กำหนดอะไรมาให้บ้าง สามารถบอกได้ว่าโจทย์ต้องการให้หาอะไร ซึ่งมีการวางแผนวิธีการหาคำตอบได้ชัดเจน เลือกวิธีการแก้ปัญหาได้เหมาะสมพร้อมทั้งใช้วิธีอื่นนอกจากวิธีเดิมในการหาคำตอบได้ สามารถแก้ปัญหาที่มีความซับซ้อนได้ และสามารถตรวจคำตอบได้อย่างถูกต้องและชัดเจน
เอกสารอ้างอิง
Howden, H. (1989). Teaching number sense, Arithmetic Teacher, 36(6), 6-11.
Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology. (2002). Number Sense. Bangkok: SPN. Printing.
Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology. (2007). Measurement and evaluation for quality Learn and sample exams from the International Student Assessment Program. Bangkok: Seven Printing Group.
Lester, F.K. (1977). Ideas about problem Solving : A look at some psychological research, Arithmetic Teacher, 25(11), 174.
Mon Kyaw, A. (2018). A study of the relationship between The number sense and problem solving skills In mathematics of middle school students. Yangon : Yangon University of Education.
Naoyenphon, P. (2011). Solving math problems, In the collection of subjects on the subject matter and methods of mathematics. Bangkok: Sukhothai Thammathirat Open University Printing House.
Putthi, S. (2021). study of mathematical ability and number sense that affects mathematics learning achievement on the subject of basic knowledge about real numbers for grade 8 students. Master of Education (Mathematic Education). Maha Sarakham: Maha Sarakham Rajabhat University.
Rattanaphonsaen, C. (2022). Study of the relationship between relational thinking and mathematical problem solving of grade 7 students. Master of Education (Mathematic Education). Maha Sarakham: Rajabhat Maha Sarakham University.
Reys, R. (1998). Computation versus number sense. Mathematics teaching in the middle school, 4(2), 110-112.
Suwapanich, S. (2003). Teaching behavior Elementary Mathematics. Maha Sarakham: Rajabhat Maha Sarakham University.
Tha Khon Yang Pittayakhom School. (2022). Report on basic national educational test results (O-NET) Mathayom 3. Maha Sarakham: National Institute of Educational Testing Senvice (Public Organization).
Worakham, P. (2021). Education Research (12th edition). Maha Sarakham: Taksila Printing.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 Journal for Developing the Social and Community

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เป็นลิขสิทธิ์เป็นของผู้ประพันธ์บทความ
