รูปแบบการบริหารจัดการน้าตามหลักพุทธวิธีของจังหวัดพิจิตร
คำสำคัญ:
การบริหารจัดการน้า,พุทธวิธี,จังหวัดพิจิตรบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปและปัญหาในการบริหาร
จัดการน้าของจังหวัดพิจิตร 2) เพื่อศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและหลักพุทธวิธีกับการบริหารจัดการน้า
ของจังหวัดพิจิตร และ3) เพื่อเสนอรูปแบบการบริหารจัดการน้าตามหลักพุทธวิธีของจังหวัดพิจิตรๆ
การศึกษาครั้งนี้เป็นวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผู้วิจัยได้มุ่งเน้นศึกษา
การบริหารจัดการน้าตามหลักพุทธวิธีของจังหวัดพิจิตร โดยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth
Interview) โดยแบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้างกับผู้ให้ข้อมูลสาคัญ จานวน 25 รูป/คน และการ
สนทนากลุ่มเฉพาะ (Focus Group Discussion) กับผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน 9 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้
ในการวิจัย คือ สัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและบันทึกการสนทนากลุ่มเฉพาะ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการ
วิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า
1. สภาพทั่วไปและปัญหาในการบริหารจัดการน้าของจังหวัดพิจิตร แบ่งออกเป็น 4 ด้าน
ด้วยกัน 1) ด้านการบริหารองค์กรที่ดี คือพื้นที่ของจังหวัดพิจิตรเป็นที่ลุ่มต่าแม่น้าไหลผ่าน รับน้าใน
ฤดูกาลน้าหลาก การบริหารจัดการน้าในระดับจังหวัดไม่มีหน่วยงานหลักรับผิดชอบ ขาดการรวม
แผนแม่บทหลัก ขาดการจัดทาข้อมูลผังน้าในพื้นที่ 2) ด้านการบริหารจัดการน้าและบารุงรักษา คือ
มีปัญหาการจัดเก็บน้าที่หลากมาตามฤดู ขาดแหล่งกักเก็บน้า พื้นที่สาธารณประโยชน์ถูกบุกรุก การ
ขุดลอกคลองยังเก็บน้าไว้ไม่ได้ ขาดฝายและประตูเปิดปิดในลาคลอง 3) ด้านการมีส่วนร่วมของผู้มี
ส่วนได้ส่วนเสียและกลุ่มผู้ใช้น้า คือขาดการมีส่วนร่วม ขาดการรวมกลุ่มที่เข้มแข็งจากผู้ใช้น้าที่
แท้จริง มีการแย่งชิงน้าเพื่อการเกษตร 4) ด้านผลสัมฤทธิ์ของงาน คือยังมีปัญหาเรื่องน้าท่วมและน้า
แล้งในพื้นที่ของจังหวัดพิจิตร
2.แนวคิด ทฤษฎีและหลักพุทธวิธีกับการบริหารจัดการน้าของจังหวัดพิจิตร นาเกณฑ์การ
พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการฝุายส่งน้าและบารุงรักษา แบ่งเป็น 4 หมวด ทั้งนี้ได้นาปัจจัยที่
ส่งเสริมต่อการบริหารจัดการน้ามาใช้ให้เกิดความเหมาะสม ความพอดี คือการนาหลักสัปปายะ 7
มาเป็นส่วนช่วยเสริมในการบริหารจัดการน้าให้เกิดความเหมาะสมขึ้น 1) การบริหารองค์กรที่ดี ตามหลักสัปปายะ 7 ต้องอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม สามารถเดินทางไปได้สะดวก มีการประชุมกันอย่าง
สม่าเสมอ บุคลากรในองค์กรจะต้องมีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง ต้องมีงบประมาณที่เพียงพอ
อยู่ในภูมิประเทศที่ดีและมีเสถียรภาพในการปฏิบัติงาน 2) การบริหารจัดการน้าและบารุงรักษา
ตามหลักสัปปายะ 7 ต้องมีการพัฒนาแหล่งจัดเก็บน้าให้ดี ต้องมีการขุดลอกคลอง ต้องมีข้อตกลง
ร่วมกัน ต้องมีคณะกรรมการลุ่มน้าในระดับต่างๆ ต้องมีน้าเพื่อประกอบอาชีพ ต้องมีการกักเก็บน้า
ในฤดูน้าหลาก ต้องมีน้าใช้ในการอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ 3) การมีส่วนร่วมขององค์กรผู้ใช้น้า
และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตามหลักสัปปายะ 7 ประชาชนต้องเสียสละพื้นที่บางส่วนเพื่อสร้างแหล่งกัก
เก็บน้า ต้องกาจัดสิ่งปฏิกูลที่ขวางทางน้า ต้องเข้าร่วมประชุมกลุ่มร่วมกัน จะต้องมีการจัดตั้งกลุ่ม
อย่างเป็นรูปธรรม ต้องได้ใช้น้าอย่างเท่าเทียมกัน ต้องร่วมกันดูแลสิ่งแวดล้อม ต้องมีน้าเพื่อการ
อุปโภคบริโภค 4) ผลสัมฤทธิ์ของงานตามหลักสัปปายะ 7 ต้องมีคณะกรรมการทางานที่แน่นอน
ต้องมีความรู้ความสามารถมีอานาจสั่งการ ต้องมีเส้นทางระบายน้าที่ดี ต้องมีข้อตกลงร่วมกัน ต้องมี
แหล่งน้าชุมชน ต้องมีการจัดเก็บน้า ต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
3. รูปแบบการบริหารจัดการน้าตามหลักพุทธวิธีของจังหวัดพิจิตร แบ่งเป็น 4 ด้าน คือ
1) การบริหารองค์กรที่ดี ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสมคืออยู่ในภูมิประเทศที่ดี สามารถเดินทางไปได้
สะดวก บุคลากรภายในองค์กรมีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการน้า มีการประชุมกัน
สม่าเสมอ องค์กรมีงบประมาณที่เพียงพอและมีเอกภาพในการปฏิบัติงาน 2) การบริหารจัดการน้า
และบารุงรักษา มีการพัฒนาพื้นที่แหล่งจัดเก็บน้าให้ดี โดยมีการขุดลอกคลองเพื่อกักเก็บน้าในฤดูน้า
หลาก มีคณะกรรมการลุ่มน้าในระดับต่างๆเข้ามาดูแล มีการพูดคุย ตกลงกันในเรื่องน้า ประชาชนมี
น้าใช้ในการอุปโภคบริโภค มีน้าประกอบอาชีพอย่างเพียงพอ 3) การมีส่วนร่วมขององค์กรผู้ใช้น้า
ชลประทานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เสียสละพื้นที่บางส่วนเพื่อสร้างแหล่งกักเก็บน้า มีการจัดตั้ง
กลุ่มผู้ใช้น้าอย่างเป็นรูปธรรม มีการประชุมกลุ่มร่วมกันเพื่อรณรงค์เรื่องดูแลสิ่งแวดล้อม กาจัดสิ่ง
ปฏิกูลที่ขวางทางน้าไหล เพื่อให้ประชาชนมีน้าเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างเท่าเทียมกัน 4)
ผลสัมฤทธิ์ของงาน มีคณะกรรมการบริหารจัดการน้าระดับจังหวัดที่ชัดเจน ที่มีความรู้ความสามารถ
ในการบริหารจัดการน้า มีอานาจสั่งการอย่างแท้จริง มีแหล่งน้าชุมชนเพื่อใช้จัดเก็บน้าหลากตาม
ฤดูกาลโดยมีเส้นทางระบายน้าที่ดี โดยที่กลุ่มมีข้อตกลงการใช้น้าร่วมกันและประชาชนในพื้นที่มี
คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เอกสารอ้างอิง
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (2547). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พิมพ์ครั้ง
ที่ 17. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
สุกาญจน์ รัตนเลิศนุสรณ์. (2550). หลักการจัดการสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน. กรุงเทพมหานคร :
สานักพิมพ์สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี ไทย-ญี่ปุน
กรมชลประทาน. (2546). เกณฑ์การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการฝ่ายส่งน้าและบ้ารุงรักษา.
กรุงเทพมหานคร : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. (อัดสาเนา)
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น

