รูปแบบการบริหารสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
คำสำคัญ:
รูปแบบการบริหาร, สิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้, สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานบทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี โดยมีการวิจัย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันของการบริหารสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา ประชากรมาจากเขตตรวจราชการที่ 14 จำนวน จำนวน 520 คน สัมภาษณ์เชิงลึกผู้อำนวยการสถานศึกษาต้นแบบ จำนวน 4 โรงเรียน ขั้นตอนที่ 2 สร้างรูปแบบการบริหารสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา โดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญกลุ่ม เป้าหมาย จำนวน 15 คน เลือกแบบเจาะจง ขั้นตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการบริหารสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 50 คน เลือกแบบเจาะจง ขั้นตอนที่ 4 ประเมินรูปแบบการบริหารสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 21 คน การเลือกแบบเจาะจง ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบัน โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาเป็นด้านการทำงานเป็นทีมและด้านการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ส่วนด้านการมีส่วนร่วมมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด 2) รูปแบบการบริหารสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในสถานศึกษา มีองค์ประกอบหลัก 4 ด้าน ได้แก่การมีส่วนร่วม การทำงานเป็นทีม การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ และการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีองค์ประกอบย่อย 13 องค์ประกอบ 75 ตัวชี้วัด
References
ชัชพล รวมธรรม. (2564, 31 พฤษภาคม). ผู้อำนวยการโรงเรียนยโสธรพิทยาคม [บทสัมภาษณ์].
ทรงสิริ วิชิรานนท์ และคณะ. (2561). ความต้องการจำเป็นในการจัดสภาพแวดล้อที่เอื้อต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร. วารสารวิชาการและวิจัยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล, 3(1), 77-77
ธิดารัตน์ การันต์. (2560). การจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สหวิทยศึกษา ซับสนุ่น–หนองย่างเสือ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระบุรี เขต 2. วารสารวิชาการสถาบันเทคโนโลยีแห่งสุวรรณภูมิ, 3(1), 195-195
ธีระ รุญเจริญ และวาสนา ศรีไพโรจน์. (2554). กลยุทธ์การพัฒนาความเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้. กรุงเทพฯ: บริษัทพิมพ์ดีจำกัด.
ประสิทธิ์ ไชยศรี. (2557). การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของสภาคณาจารย์และข้าราชการในการบริหารงานมหาวิทยาลัยราชภัฏ. (วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาการจัดการการศึกษา). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์.
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553. (2542, 19 สิงหาคม). ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 74 ก. หน้า 1.
วนิดา รุ่งโรจน์สันติสุข. (2561). แนวทางการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จังหวัด ปทุมธานี, การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับชาติและนานาชาติ ครั้งที่ 8
ศักดิ์สิทธิ์ สุภสร. (2558). การพัฒนารูปแบบความสัมพันธ์เชิงสาเหตุแบบพหุระดับของปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพในการบริหารจัดการสถานศึกษาสู่ประชาคมอาเซียนของโรงเรียนประถมศึกษา (วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและประเมินผลการศึกษา) อุบราชธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี.
สุขุมาลย์ พนิชการ และ พัชรีวรรณ กิจมี. (2558). ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้กับประสิทธิผลในการจัดการศึกษาของโรงเรียนมัธยม สังกัดกลุ่มดอยสามหมื่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 34. วารสารบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทอร์น, 3(1), 303-303.
สุธีรา งามเกียรติทรัพย์. (2560). การสร้างบรรยากาศในการเรียนให้เกิดความคิดสร้างสรรค์.วารสารอนัมนิกาย, 1(1), 27-27.
สุพร คมขำ. (2558). การศึกษารูปแบบการพัฒนาวินัยข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (รายงานผลการวิจัย). กรุงเทพฯ: สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ.
องอาจ จูมสีมา. (2564, 10 มิถุนายน). ผู้อำนวยการโรงเรียนลือคำหาญวารินชำราบ [บทสัมภาษณ์].
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2022 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น