การบูรณาการบทบาทของพระสงฆ์ร่วมกับเครือข่ายสังคมในการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมของชุมชนภาคอีสาน
คำสำคัญ:
การบูรณาการ,บทบาทพระสงฆ์กับเครือข่ายสังคม,เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมบทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาความเป็นมาและองค์ความรู้ในการเฝ้า ระวังทางวัฒนธรรมชุมชน 2) เพื่อศึกษาบทบาทของพระสงฆ์และเครือข่ายสังคมในการเฝ้าระวังทาง วัฒนธรรมของชุมชนในภาคอีสาน และ 3) เพื่อการบูรณาการบทบาทของพระสงฆ์และเครือข่าย สังคมในการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมของชุมชนภาคอีสาน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสํารวจ แบบ สังเกต แบบสัมภาษณ์ และแบบสนทนากลุ่ม เก็บข้อมูลจากผู้รู้ 24 รูป/คน ภาคชุมชน 30 รูป/คน ผู้ ปฏิบัติ 36 รูป/คน และผู้ให้ข้อมูลทั่วไป 10 คน จากวัตประมวลราษฎร์ วัดศิริพงษาวาส และวัดป่า ไพบูลย์ และทําการวิเคราะห์ข้อมูล นําเสนอผลด้วยการพรรณนาวิเคราะห์
ผลการวิจัยพบว่า
ความเป็นมาและองค์ความรู้ในการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรมของชุมชนภาคอีสาน โดยเริ่ม มากจากมีการก่อตั้งกระทรวงวัฒนธรรมในสังกัดกรมศิลปากร ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติบํารุง วัฒนธรรมแห่งชาติ มีการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ เพื่อทําหน้าที่ในการขับเคลื่อนภารกิจหลัก ในการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม เช่น โครงการเข้าวัดปฏิบัติธรรมวันธรรมสวนะ การอบรมพระธรรม วิทยากร การค่ายธรรมบุตร และงานด้านเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม เป็นต้น การดําเนินงานในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมาในการเฝ้าระวังติดตามความเบี่ยงเบนทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง มีการดําเนินงานเชิง รุกในการป้องกัน การแก้ไขปัญหาสังคมและวัฒนธรรม การพัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ และชัยภูมิได้ดําเนินการตามนโยบายตามลําดับ ขั้นตอนการเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ซึ่งวัดประมวลราษฎร์ วัดศิริพงษาวาส และวัดป่าไพบูลย์ ได้มีการดําเนินการในรูปแบบการเข้าค่ายพุทธบุตรตามรูปแบบที่มาจากวัดชลประทานรังสฤษฎี
สภาพทางวัฒนธรรมของชุมชนภาคอีสาน ได้แก่ ด้านยาเสพติด ชู้สาว ทะเลาะวิวาท หนี เรียน และติดเกม โดยการดําเนินการวางแผนยังไม่เป็นระบบ ไม่ชัดเจน ขาดความร่วมมือของทุก ฝ่าย ทํางานที่ไม่ต่อเนื่อง มีการป้องกันที่ยังไม่รัดกุมทั้งตัวเอง ชุมชน และโรงเรียน มีการดําเนินการ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ตรงจุด เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ครอบครัวไม่ได้ให้ความรักความอบอุ่น เอาใจใส่ดูแลเต็มที่ เป็นการทํางานที่ขาดการบูรณาการร่วมกัน เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว โดยมีการ บรรเทาปัญหานั้นในบางส่วน ไม่คอบคุมทั้งหมด
การบูรณาการในการทํางานของพระสงฆ์และเครือข่ายต้องมีการประชุมและวางแผน ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง กําหนดทิศทางที่ชัดเจนในการทํางาน มีการป้องกันโดยการอบรมให้ความรู้ ความเข้าใจแก่เยาวชนในการปฏิบัติที่ป้องกันตนเองในครอบครัว โรงเรียนและชุมชนอย่างมีความ เข้าใจร่วมกันก่อนที่เหตุจะเกิดขึ้น เมื่อมีแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด พูดคุย ให้กําลังใจ หาทางออกร่วมกัน ส่วนผู้ที่เกิดปัญหาขึ้นแล้ว ต้องให้การบรรเทาปัญหาโดยการพูดคุย ให้กําลังใจ ใช้วิธีการที่นุ่นนวล ไม่กระทบต่อสภาพจิตใจที่อ่อนแอ ให้การอบรมสั่งสอนตามหลักธรรม ทางพระพุทธศาสนาที่นํามาปรับใช้ในการดําเนินชีวิต ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกันของหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ได้อย่างเป็นหนึ่งอันเดียวกัน ทํางานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
References
คุณ โทขันธ์. (2552). บทบาทของพระสงฆ์ต่อการพัฒนา. ขอนแก่น: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
ชําเลือง วุฒิจันทร์ (2526). การพัฒนากิจการคณะสงฆ์และกิจการพระศาสนาเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา.
ธีระเกียรติ ทีฆะบุตร (2548). “ความร่วมมือของเครือข่ายสังคมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนพื้นที่สถานีตํารวจนครบาลพหลโยธิน” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม.
บรรพต วีระสัย และคณะ. (2523), พระสงฆ์กับสังคมไทยโดยพิจารณาในเชิงสังคมเศรษฐกิจ การเมืองและการปกครองศึกษาในกรณีวัดในกรุงเทพฯ. กรุงเทพฯ: มหากุฏราชวิทยาลัย.
พะยอม อิงคตานุวัฒน์. (2530). เด็กกับโรงเรียน กรุงเทพฯ: ฝ่ายการเผยแพร่ความรู้สมาคมวางแผน และครอบครัวแห่งประเทศไทย.
พิสิฏฐ์ บุญไชย และทรงคุณ จันทร. (2540), ศาสนาพุทธะสถานภาพ บทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงในสังคมอีสาน, สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
วิทย์ วิทศเวทย์ และเสฐียรพงษ์ วรรณปก. (2533), พระพุทธศาสนาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 .กรุงเทพมหานคร:สํานักพิมพ์อักษรเจริญทัศน์.
สุดาพร สินประสงค์. (2550). สาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหาการทะเลาะวิวาทของนักเรียนนักศึกษาระดับอาชีวศึกษาประเภทช่างอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพมหานคร, มหาวิทยาลัย ราชภัฏธนบุรี.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2020 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น