การจัดทำบัญชีเพื่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา
คำสำคัญ:
การบัญชี, การจัดการ, ศาสนสมบัติบทคัดย่อ
บทความวิจัยฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อ1. ศึกษาการจัดทำบัญชีเพื่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา 2. ศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสังฆาธิการ และพระสงฆ์ ที่มีต่อการจัดทำบัญชีเพื่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3. ศึกษาปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะที่มีต่อการจัดทำบัญชีเพื่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา
ดำเนินการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed - Methods Research) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการวิจัยเชิงสำรวจเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากพระสงฆ์ในอำเภอพระนครศรีอยุธยาได้จำนวน 251รูป จากพระสงฆ์ทั้งหมด 675รูปโดยใช้สูตรการคำนวณกลุ่มตัวอย่างของ ทาโร่ ยามาเน่ (Taro Yamane) เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับอยู่ที่ 0.978เป็นคำถามแบบปลายเปิดและปลายปิด โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ(F-Test) และการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาเชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า
1.ระดับความคิดเห็นของพระสงฆ์ต่อการจัดทำบัญชีเพื่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในอำเภอพระนครศรีอยุธยาในภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ ด้านการเก็บรักษาเงินของวัด ด้านการให้เช่าที่ดินหรืออาคาร ด้านการกันที่ดินซึ่งเป็นที่วัดให้เป็นที่จัดประโยชน์ ด้านการได้ทรัพย์สินมาเป็นศาสนสมบัติของวัดด้านการให้เช่าที่ธรณีสงฆ์ ที่กัลปนาหรือที่วัด ตามลำดับ
2.ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของพระสงฆ์ ต่อการจัดทำบัญชีเพื่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในอำเภอพระนครศรีอยุธยาจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลพบว่าพระสงฆ์ที่มีสถานภาพ จำนวนพรรษา วุฒิการศึกษาสามัญ วุฒิการศึกษาทางธรรม วุฒิการศึกษาทางเปรียญธรรมต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการจัดทำบัญชีเพื่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา โดยภาพรวม ไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนพระสงฆ์ที่มีอายุต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการจัดทำบัญชีเพื่อการจัดการศาสนสมบัติของวัด ในอำเภอพระนครศรีอยุธยา โดยภาพรวม แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงยอมรับสมมติฐานที่ตั้งไว้
3.ปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ 1) เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรบางวัดขาดความรู้ในการจัดการทรัพย์สินที่ได้มาเป็นศาสนสมบัติของวัด ตามที่กำหนด 2) เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรหรือผู้จัดผลประโยชน์ของวัดมีการจัดทำแผนผังที่ดินไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด 3)เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรบางวัดไม่มีการระบุวัตถุประสงค์ในสัญญาเช่าที่ดินของวัดชัดเจน 4) เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรกำหนดค่าเช่าไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติสงฆ์ 5) เจ้าอาวาสและไวยาวัจกรหรือผู้จัดผลประโยชน์ของวัดขาดความรู้ด้านการจัดทำบัญชีและการเก็บรักษาเงินวัด ข้อเสนอแนะ พบว่า 1) ควรให้มีหน่วยงานที่รับชอบให้ความรู้ จัดฝึกอบรมในการได้ทรัพย์สินมาเป็นศาสนสมบัติของวัด เพื่อให้การจัดการทรัพย์สินเป็นไปตามที่กำหนด 2) ควรจัดทำแผนผังภายในวัดเพื่อกำหนดพื้นที่แต่ละชนิดให้ชัดเจนแปลงมีพื้นที่เขตพุทธาวาสเขตสังฆาวาสและเขตธรณีสงฆ์ 3) การทำสัญญาเช่าที่ดินของวัดในแบบสัญญาเช่าต้องระบุวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าเช่าไปทำอะไร เพราะอาจจะนำที่ดินวัดไปใช้กิจกรรมส่งเสริมอบายมุขก็ได้ 4) วัดควรมีมาตรการที่ชัดเจนในการบริหารจัดการเรื่องค่าเช่าที่ไม่ขัดกับพระราชบัญญัติสงฆ์ 5) ควรพัฒนาความรู้ความสามารถของพระภิกษุสามเณรและบุคลากรภายในวัดให้เพิ่มมากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Ministerial Regulation. (1968).Issued Under The Sangha Act in The Year of1962. (2004),Ecclesiastical Law in The Law Ministry UpdateC.E. 2004.Bangkok : The Publishers Soutpaisal.
Supatra Natan.(2010).A Study of The Effectiveness of Financial And Account Administration At Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Khonkaen Campus”(Research Paper)Graduate School : Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
Phrakhrusobhonpariyattayanuyut (Jamsuk Kittivanno). (2005).The Sangha Administration On The Buddhist Construction And Repairation in Nakhonluang District, Ayutthaya Province(Research Paper).Graduate School : Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
Phrakhrupaladkittiwat (Khacha Panyadharo). (2011).The Temple Management of The Sangha Administors in Banglen District, Nakhonpathom Province(Research Paper).Graduate School : Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น

