การพัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวพุทธ เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมการกำกับตนเองด้านการเรียนของนักเรียนวัยรุ่น

Main Article Content

พระเชวง โสภาจร
ศิริพงษ์ เศาภายน
มณฑิรา จารุเพ็ง

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาพฤติกรรมการกำกับตนเองด้านการเรียนของนักเรียนวัยรุ่นในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 2) พัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวพุทธ เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมการกำกับตนเองด้านการเรียน 3) เปรียบเทียบพฤติกรรมการกำกับตนเองด้านการเรียนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมก่อนและหลังเข้ารับการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวพุทธและระหว่างหลังการทดลองกับสิ้นสุดการติดตามผล และ 4) เปรียบเทียบระดับความพึงพอใจของนักเรียนวัยรุ่นต่อรูปแบบดังกล่าว การวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยใช้กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 400 คน ในปีการศึกษา 2564 ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน และวิเคราะห์ข้อมูลแบบวัดพฤติกรรมการกำกับตนเองด้านการเรียน ที่มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.89 ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้กลุ่มตัวอย่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนจันทร์หุ่นบำเพ็ญ จำนวน 24 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 12 คน โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือรูปแบบการให้คำปรึกษา และแบบวัดความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติที แบบไม่อิสระจากกัน เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมก่อนและหลังการเข้าร่วมการให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม และสถิติที แบบอิสระจากกัน เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม


ผลการวิจัย พบว่า 1) ภาพรวมของพฤติกรรมการกำกับตนเองด้านการเรียนของนักเรียนวัยรุ่น อยู่ในระดับมาก และด้านการแสดงปฏิกิริยาต่อตนเองมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 2) การให้คำปรึกษาแบบกลุ่มที่ผสานหลักจิตวิทยาและหลักพุทธศาสนา ช่วยพัฒนาทักษะคิดวิเคราะห์ การตั้งเป้าหมาย และการจัดการปัญหาการเรียนของนักเรียนวัยรุ่น ส่งผลให้เกิดการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและสามารถปรับใช้ในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่พฤติกรรมการกำกับตนเองด้านการเรียนที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน 3) หลังการทดลองพฤติกรรมการกำกับตนเองด้านการเรียนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และระหว่างก่อนการทดทดลองและหลังการทดลอง มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และระหว่างหลังสิ้นสุดการทดลองกับสิ้นสุดการติดตามผล ไม่แตกต่างกัน และ 4) นักเรียนวัยรุ่นที่เข้ากลุ่มมีความพึงพอใจต่อรูปแบบการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวพุทธ ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (> ร้อยละ 80) ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการให้คำปรึกษามีประสิทธิภาพและสามารถพัฒนาการตัดสินใจพร้อมควบคุมพฤติกรรมให้มีสมาธิและคงไว้ซึ่งความตั้งใจทางด้านการเรียน อย่างไรก็ตาม การวิจัยนี้เป็นเพียงแนวทางหนึ่งเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้สามารถบริหารจัดการการเรียนรู้ด้วยตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
โสภาจร พ. . ., เศาภายน ศ. . ., & จารุเพ็ง ม. . . (2025). การพัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มตามแนวพุทธ เพื่อเสริมสร้างพฤติกรรมการกำกับตนเองด้านการเรียนของนักเรียนวัยรุ่น. วารสารสันติศึกษาปริทรรศน์ มจร, 13(4), 1422–1435. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/journal-peace/article/view/290494
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

Best, J. W. (1981). Research in Education. (4th ed.). New Jersey: Prentice Hall Inc.

Cronbach, L. J. (1990). Essentials of Psychological Testing. (5th ed.). New York: Harper Collins Publishers.

Danpradit, B. (2015). Self-Regulation, Adversity Quotient, Intrinsic Motivation and Academic Success of Sophomores at Kasetsart University, Bangkhen Campus. Journal of Social Sciences and Humanities, 41(1), 121-134.

Diamantopoulos, A., & Siguaw, J. A. (2000). Introduction to LISREL: A Guide for the Uninitiated. London: SAGE Publications, Inc.

Emeka, N., Nelson, P., & Tracey, P. (2007). Social Investment through Community Enterprise. Journal of Business Ethics, 73(1), 91-101.

Hair, J. F., Hult, G. T. M., Ringle, C. M., & Sarstedt, M. (2014). A Primer on Partial Least Squares Structural Equation Modeling (PLS-SEM). LA: SAGE Publications, Inc.

Hunsaen, S., & Potjana-areewong, J. (2020). Development of Psychological Training Curriculum on Life Management for Adolescent’s Study. Ratchaphruek Journal, 18(1), 103-109.

Kaewmani, K., & Preededilok, F. (2020). Guidelines for the Provision of Learning Process for Resolving Learning Fatique Problem of Secondary School Students in Bangkok. An Online Journal of Education, 15(1), 1-12.

Kiawpoompong, R. (2014). Guidelines for Moral and Ethical Development in Educational Institutions. Bangkok: Thai Education Publishing House.

Likert, R. (1932). A Technique for the Measurement of Attitudes. Archives of Psychology, 140, 44-53.

Pearson, K. (1920). Notes on the History of Correlation. Biometrika, 13(1), 25-45.

Phanphad, W., Chaoin, K., & Phramaha Nopparat Khantithammo (Silakul). (2024). Guidelines for Developing Teaching and Learning on the Critical Path of Thai Education in the 4.0 Era. Journal of MBU Yotsunthon Review, 1(1), 87-110.

Phra Dhammapitaka (P.A. Payutto). (2000). Buddhism as Education. Bangkok: MCU Press.

Phra Medeedhammapranat (Precha Patibanamedhee), & Phramaha Atidet Satiwaro (Sukawattanawadi). (2019). A Study of Buddhist Counseling Psychology Integrated Approach. Journal of MCU Nakhondhat, 6(8), 4041-4055.

Srivichai, C., Yusuk, P., & Jindawutthipan, S., (2017). Effect of Self-Regulation Program on Self-Efficacy toward Control on Information Technology Using among Adolescents. Journal of the Royal Thai Army Nurses, 18(2), 110-118.

Swink, M., Melnyk, S. A. & Hartley, J. L. (2014). Managing Operations Across the Supply Chain. (4th ed.). New York: McGrew-Hall.

Wongyai, W. (2011). Integrated Curriculum Development. Bangkok: Chulalongkorn University Press.