การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่องอัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6

ผู้แต่ง

  • นันทิกร อุดมศิลป์ สาขาวิชาการประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น
  • วัชรทินภัทร อนุมา โรงเรียนบ้านป่ายาง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 3
  • ขจรอรรถพณ พงศ์วิริทธิ์ธร หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะบริหารธุรกิจ วิทยาลัยนอร์ทเทิร์น

คำสำคัญ:

การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ , คณิตศาสตร์, กระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา

บทคัดย่อ

 การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สร้างและประเมินประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่องอัตราส่วน ให้เป็นไปตามเกณฑ์ 75/75 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมดังกล่าว และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมดังกล่าว

กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 27 คน จากโรงเรียนบ้านป่ายาง จังหวัดเชียงราย โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ 5 ชุด ครอบคลุมหัวข้ออัตราส่วนในรูปแบบต่าง ๆ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงปริมาณ โดยใช้ค่า E1/E2 ในการวัดประสิทธิภาพ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ด้วยสถิติ t-test แบบ Dependent และวิเคราะห์ความพึงพอใจโดยหาค่าเฉลี่ย

             ผลการวิจัยพบว่า

  1. ชุดกิจกรรมมีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 77.79/82.47 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กำหนด
  2. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอยู่ที่ 10.00 คะแนน และหลังเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 25.41 คะแนน (p < .05)
  3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมในระดับสูง โดยมีค่าเฉลี่ย 4.52 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.19 งานวิจัยนี้ยืนยันว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยามีประสิทธิภาพสูงและช่วยส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รวมถึงสร้างความพึงพอใจให้กับนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6

      1. การสร้างและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่อง อัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6มีประสิทธิภาพระหว่างเรียน/หลังเรียนเท่ากับ 77.79/82.47ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 75/75

  1. การใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่อง อัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 27 คน มีค่าเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 10.00 คะแนน และค่าเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 25.41 คะแนน และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่าคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
  2. ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีผลต่อการเรียนรู้โดยชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่อง อัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้ มีค่าเฉลี่ย ( ) เท่ากับ 4.52 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( ) เท่ากับ 0.19 แสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยาเรื่อง อัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 อยู่ในระดับมาก

References

Ministry of Education. (2008). The Basic Education Core Curriculum B.E. 2551 (A.D. 2008). Bangkok: Ministry of Education.

National Council of Teachers of Mathematics (NCTM). (2000). Principles and Standards for School Mathematics. Reston, VA: NCTM.

NIETS. (2022). National Education Test Report for Primary School Level. National Institute of Educational Testing Service (NIETS).

Polya, G. (1945). How to Solve It: A New Aspect of Mathematical Method. Princeton University Press.

Trafton, P. (2013). Teaching Problem-Solving Skills in Mathematics. Journal of Education, 150(3), 72-81.

Van de Walle, J. A. (2004). Elementary and Middle School Mathematics: Teaching Developmentally. Boston: Pearson.

Polya, G. (1957). How to Solve It: A New Aspect of Mathematical Method. Princeton University Press.

Schoenfeld, A. H. (1985). Mathematical Problem Solving. Academic Press.

Moyer-Packenham, P. S., & Westenskow, A. (2013). The influence of problem-based learning on student achievement in mathematics. Journal of Educational Research, 106(4), 285-296.

Sweller, J. (1988). Cognitive load during problem solving: Effects on learning. Cognitive Science, 12(2), 257-285.

Hattie, J., & Timperley, H. (2007). The Power of Feedback. Review of Educational Research, 77(1), 81-112.

Marzano, R. J. (2007). The Art and Science of Teaching: A Comprehensive Framework for Effective Instruction. ASCD.

Ginsburg, H. P. (2009). The Development of Mathematical Thinking: An Overview. Educational Psychologist, 44(3), 141-159.

Csikszentmihalyi, M. (1990). Flow: The Psychology of Optimal Experience. Harper & Row.

Ryan, R. M., & Deci, E. L. (2000). Self-determination theory and the facilitation of intrinsic motivation, social development, and well-being. American Psychologist, 55(1), 68-78.

Deci, E. L., & Ryan, R. M. (2008). Self-determination theory: A macrotheory of human motivation, development, and health. Canadian Psychology/Psychologie canadienne, 49(3), 182-185.

Mayer, R. E. (2008). Learning and Instruction. Pearson.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2025-04-30

How to Cite

อุดมศิลป์ น. ., อนุมา ว. ., & พงศ์วิริทธิ์ธร ข. . (2025). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ตามกระบวนการแก้ปัญหาของโพลยา เรื่องอัตราส่วน เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วารสารวิทยาลัยนครราชสีมา สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 19(1), 1–13. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/hsjournalnmc/article/view/273335