อิทธิพลของการสื่อสารความรับผิดชอบทางสังคมขององค์กรผ่านสื่อออนไลน์ที่มีต่อความไว้วางใจ การสนับสนุน และการรับรู้คุณค่าตราสินค้าในธุรกิจน้ำมันของผู้บริโภคชาวไทย

Main Article Content

ธัญลักษณ์ มีสุวรรณ์
นธกฤต วันต๊ะเมล์

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาการเปิดรับความรับผิดชอบทางสังคมขององค์กรผ่านสื่อออนไลน์ที่มีต่อธุรกิจน้ำมันของผู้บริโภคชาวไทย ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1) ด้านความไว้วางใจ 2) ด้านการสนับสนุน 3) ด้านการรับรู้คุณค่าตราสินค้า และ 2) ศึกษาอิทธิพลของการเปิดรับความรับผิดชอบทางสังคมขององค์กรผ่านสื่อออนไลน์ที่มีต่อธุรกิจน้ำมันของผู้บริโภคชาวไทย ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1) ด้านความไว้วางใจ 2) ด้านการสนับสนุน 3) ด้านการรับรู้คุณค่าตราสินค้า เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงสำรวจ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริโภคชาวไทย เลือกสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน ได้จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้วิจัย ได้แก่ แบบสอบถามออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า 1. การเปิดรับความผิดชอบทางสังคมขององค์กรผ่านสื่อออนไลน์จาก เฟซบุ๊ก (Facebook) มากที่สุด ส่วนใหญ่มีการเปิดรับการสื่อสารความรับผิดชอบทางสังคมขององค์กรผ่านเฟซบุ๊ก รองลงมา คือ เว็บไซต์ ยูทูบ ไลน์ และอินสตาแกรม 2. อิทธิพลของการเปิดรับความรับผิดชอบทางสังคมขององค์กรผ่านสื่อออนไลน์ที่มีต่อธุรกิจน้ำมันของผู้บริโภคชาวไทย ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1) ด้านความไว้วางใจ (Trust) มี 3 ช่องทาง โดยเรียงลำดับดังนี้ (1) เฟซบุ๊ก (Facebook) (2) ยูทูบ (YouTube) และ (3) อินสตาแกรม (Instagram) 2) ด้านการสนับสนุน (Advocacy) มี 3 ช่องทาง โดยเรียงลำดับดังนี้ (1) เฟซบุ๊ก (Facebook) (2) เว็บไซต์ (Website) และ (3) อินสตาแกรม (Instagram) 3) ด้านการรับรู้คุณค่าตราสินค้า (Brand Equity) มี 5 ช่องทาง โดยเรียงลำดับดังนี้ (1) เว็บไซต์ (Website) (2) เฟซบุ๊ก (Facebook) (3) ยูทูบ (YouTube) (4) ไลน์ (Line) และ (5) อินสตาแกรม (Instagram) ผลการวิจัยดังกล่าว สามารถเป็นแนวทางให้กับประกอบการธุรกิจน้ำมัน ในการเลือกใช้สื่อออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิผล และเป็นประโชน์แก่ผู้ที่สนใจทำการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อออนไลน์ในการสื่อสารความรับผิดชอบทางสังคม

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
มีสุวรรณ์ ธ., & วันต๊ะเมล์ น. . (2023). อิทธิพลของการสื่อสารความรับผิดชอบทางสังคมขององค์กรผ่านสื่อออนไลน์ที่มีต่อความไว้วางใจ การสนับสนุน และการรับรู้คุณค่าตราสินค้าในธุรกิจน้ำมันของผู้บริโภคชาวไทย. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 10(4), 339–356. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/268669
ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กรมธุรกิจพลังงาน. (2564). ข่าวพลังงานประจำวัน ธุรกิจน้ำมันภายในประเทศในประเทศไทย. เรียกใช้เมื่อ 30 ตุลาคม 2565 จาก https://www.energynewscenter.com/

ชนมาศ ชัยศรี. (2563). การศึกษาความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กรที่มีอิทธิพลต่อคุณค่าตราสินค้าและกระบวนการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้าองค์กรในประเทศไทย. วารสารเกษตรศาสตร์ธุรกิจประยุกต์, 16(24), 1-28.

นธกฤต วันต๊ะเมล์. (2555). การสื่อสารการตลาด. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

น้ำทิพย์ วิภาวิน. (2558). Network in a Networked Society. วารสารวิจัยสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ,, 8(2), 119-127.

วรมน บุญศาสตร์. (2559). องค์กรรับผิดชอบต่อสังคม : ทัศนคติ และการตอบสนองด้านคุณภาพการบริการ ภาพลักษณ์องค์กร ความไว้วางใจ ความตั้งใจซื้อและการบอกต่อ ของกลุ่มผู้บริโภคเจนเนอเรชั่น ซี. วารสารการสื่อสารและการจัดการ นิด้า, 2(2), 1-18.

วิภาดา วีระสัมฤทธิ์. (2553). ความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) ที่มีผลต่อความจงรักภักดีของลูกค้าของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน). เรียกใช้เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2565 จาก http://thesis.swu.ac.th/swuthesis/Man /Phitchaya_L.pdf

สุรพงษ์ คงสัตย์ ธีรชาติ ธรรมวงค์. (2551). การหาค่าความเที่ยงตรงของแบบสอบถาม (IOC). กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.

Aaker, D. A. (1991). Managing brand equity: Capitalizing on the value of a brand name. New York: Free Press.

Atkin, C. K. (1973). New Model for Mass Communication Research. New York: The Free Press.

Badrinarayanan, V., & Laverie, D. A. (2013). The Role of Manufaturers’ Salespeople in Inducing Brand Advocacy by Retail Sales Associctes. Journal of Marketing Theory and Practice. Retrieved Octcter 30, 2022, from https://doi.org/10.2753/MTP1069-66792101041069-6679210104

Berry, L. L., Zeithaml, V. A., & Parasuman, A. (1990). Five imperatives for improving service quality. MIT Sloan Management Review, 31(4), 29.

Bonsu, S. K. (2018). Corporate Social Responsibility Implementation Framework. Walden University: ProQuest Dissertations Publishing.

Bourdeau, L. B. (2005). A New Examination of Service Loyalty: Identification of the Antecedents and Outcomes of Additional Loyalty Framework. In Dissertation, Ph.D. (Business Administration). Florida University. Photocopied.

Cronbach, L. (1990). Essentials of Psychological Testing. (5 th ed). New York: Harper Collins.

Keller, K. L., Parameswaran, M. G., & Jacob, I. (2011). Strategic Brand Management: Building, Measuring, and Managing Brand Equity. Pearson. Retrieved November 3, 2022, from https://books.google.co.th/books?id=cofhZbwwFuYC

Kotler, P., & Keller, K. L. (2016). A framework for marketing management. (6th Ed.). England: Pearson Education Limited.

Mishra, A. (1996). Organizational Responses to Crisis, The Centrality of Trust. Open Journal of Social Sciences, 3(3), 261-281.

Morgan, R., & Hunt, S. (1994). The Commitment-Trust Theory of Relationship Marketing. the journal of marketing, 58(3) 20-38.

Nyhan, R. C., & Marlowe, H. A. (1997). Development and Psychometric Properties of the Organizational Trust Inventory. Retrieved November 3, 2022, from https://doi.org/10.1177/0193841x9702100505

Scott, J. T., & Maryman, J. (2016). Using social media as a tool to complement advocacy efforts. Global Journal of Community Psycholgy Practive, 7(5), 1-22.

Standard. (2022). ISO 26000 Social responsibility. Retrieved November 3, 2022, from https://www.iso.org/iso-26000-social-responsibility.html

Statista. (2565). Social media in Thailand. Retrieved November 3, 2022, from https://www.statista.com/topics/8194/social-media-in-thailand/#topicOverview