ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของบุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนมในศตวรรษที่ 21
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของบุคลากร มหาวิทยาลัยนครพนม และ 2) เปรียบเทียบความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของบุคลากร มหาวิทยาลัยนครพนม ในศตวรรษที่ 21 จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล กลุ่มตัวอย่างได้แก่บุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนมในเขตพื้นที่ทำงานตำบลนาราชควาย อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จำนวน 183 คน ซึ่งได้จากการคำนวณโดยสูตรของยามาเน่ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 95 และระดับค่าความคลาดเคลื่อนร้อยละ 5 ใช้หลักความน่าจะเป็นในการสุ่มตัวอย่าง (Probability Sampling) โดยใช้การสุมแบบแบ่งชั้น (Stratified Sampling) จำแนกตามหน่วยงาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่า t-test ในกรณีที่ตัวแปรมี 2 กลุ่มและค่า F-test ในกรณีที่ตัวแปรมีมากกว่า 2 กลุ่ม โดยกำหนดค่านัยสถิติที่สำคัญที่ 0.05 เมื่อพบความแตกต่าง จึงทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีการ LSD (Least-Significant Different)
ผลการวิจัยพบว่า 1) ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ของบุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนมในศตวรรษที่ 21 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( =4.47) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด 1 ด้าน คือ ด้านเคารพกติกา ( =4.51) และอยู่ในระดับมาก 4 ด้าน เรียงค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย คือ ด้านเคารพหลักความเสมอภาค ( =4.50) ด้านการรับผิดชอบต่อสังคม ( =4.46) ด้านเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ( =4.45) และด้านรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น ( =4.05) ตามลำดับ 2) การเปรียบเทียบความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของบุคลากรมหาวิทยาลัยนครพนม ในศตวรรษที่ 21 จำแนกตามเพศ หน่วยงาน อายุ รายได้ ระดับการศึกษา และประเภทของบุคลากร ผลการวิจัย พบว่าบุคลากรที่มีหน่วยงาน รายได้ ต่างกัน มีความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย แตกต่างกันอย่างมีนัยสถิติที่สำคัญที่ระดับ 0.05 ส่วนบุคลากรที่มีเพศ อายุ การศึกษา และประเภทของบุคลากรที่ต่างกัน มีความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย ไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสถิติที่สำคัญที่ระดับ 0.05
Downloads
Article Details
How to Cite
บท
บทความวิจัย (Research Articles)