ผลของโปรแกรมการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันไตเสื่อมของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง ตำบลเมืองเสือ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2025.281779คำสำคัญ:
ความรอบรู้ด้านสุขภาพ, โปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ, การป้องกันไตเสื่อมบทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพในหมู่ผู้สูงอายุที่มีความดันโลหิตสูงถือเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันภาวะไตเสื่อม เนื่องจากจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีความรู้ที่จำเป็นในการตัดสินใจเกี่ยวกับสุขภาพและปฏิบัติพฤติกรรมป้องกันได้ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงการจัดการโรคและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับไต ดังนั้นการวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันไตเสื่อมของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูง
ระเบียบวิธีวิจัย: การวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบ Pretest-posttest two-group design ดำเนินงานระหว่างเดือนตุลาคม 2566 - กรกฎาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงในเขตตำบลเมืองเสือ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ทำการสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีจับฉลาก แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 32 คน กลุ่มเปรียบเทียบ 32 คน กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันไตเสื่อมเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มเปรียบเทียบได้รับการดูแลตามปกติ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพ 6 ด้าน ได้แก่ ทักษะความรู้และเข้าใจ ทักษะการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพและบริการสุขภาพ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการตัดสินใจ ทักษะการจัดการตนเอง ทักษะการรู้เท่าทันสื่อ และแบบประเมินพฤติกรรมสุขภาพวิเคราะห์สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาช (Cronbach’s alpha coefficient) ได้มากกว่า 0.70 ทุกด้าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา, สถิติเชิงอนุมาน กรณีแจกแจงแบบปกติ ใช้ Independent t-test
ผลการวิจัย: ผลการวิจัย พบว่าหลังเข้าร่วมโปรแกรมกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันไตเสื่อมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จึงแสดงให้เห็นว่าผลของโปรแกรมส่งผลต่อระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพในการป้องกันไตเสื่อมของผู้สูงอายุโรคความดันโลหิตสูงในทางที่ดีขึ้น ดังนั้นจึงควรมีการขยายผลการดำเนินงานไปในกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังกลุ่มอื่นๆด้วย
สรุปผล: การศึกษาพบว่าโปรแกรมดังกล่าวช่วยปรับปรุงความรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันการเสื่อมของไตในผู้ป่วยสูงอายุที่มีความดันโลหิตสูงได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและกลุ่มควบคุม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรมนี้มีประสิทธิผลและควรขยายขอบเขตให้ครอบคลุมผู้ป่วยเรื้อรังกลุ่มอื่นๆ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ด้านสุขภาพที่กว้างขึ้น
References
กองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. (2563). แนวทางการพัฒนาชุมชนรอบรู้ด้านสุขภาพ. กรุงเทพฯ: บริษัท 25 มีเดีย จำกัด
กานต์ฌิพิชญ์ ปัญญธนชัยกุล. (2560). ประสิทธิผลของโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่เสี่ยงต่อโรคไตเรื้อรัง. วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตร์มหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ทองทิพย์ หงษ์สามสิบเจ็ด, สายฝน อินศรีชื่น, วิยะดา เผือกหลวง, โชคชัย พนมขวัญ และรัตน์ชรีญาภรณ์ ฤทธิศาสตร์. (2565). ผลโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมสุขภาพการป้องกันไตเสื่อมของผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงโรคไต.วารสารบัณฑิตศึกษามหาจุฬาขอนแก่น, 9(3), 220-230.
ประไพพิศ สิงหเสม, พอเพ็ญ ไกรนรา และวรารัตน์ ทิพย์รัตน์. (2562). การวิจัยเชิงปฏิบัติการสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพ ผู้สูงอายุตำบลหนองตรุด อำเภอเมืองตรัง จังหวัดตรัง. วารสารวิชาการสาธารณสุข, 29(5), 790-802.
มณีรัตน์ จิรัปปภา. (2557). การชะลอไตเสื่อมจากวัยผู้ใหญ่ถึงวัยผู้สูงอายุ. วารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครราชสีมา, 20(2), 5–16.
มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย. (2560). สถานการณ์ผู้สูงอายุไทย ประจำปี 2560. นนทบุรี. เอพลัสมีเดีย.
รุ่งนภา อาระหัง. (2560). ผลของโปรแกรมส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงสำหรับกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงที่ชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม. วิทยานิพนธ์ปริญญาพยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยคริสเตียน.
วัชราพร เชยสุวรรณ. (2560). ความรอบรู้ด้านสุขภาพ : แนวคิดและการประยุกต์สู่การปฏิบัติการพยาบาล.วารสารแพทย์นาวี, 44(3), 183-97.
วิมล โรมา, ชะนวน ทองธนสุกาญจน์, มธุรส ทิพยมงคล, กุลณัฐ นารีเอมยงค์, นรีมาลย์ นีละไพจิตร, สายชล คล้อยเอี่ยม, และมุกดา สำนวนกลาง. (2018). การสำรวจความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนไทย อายุ 15 ปี ขึ้นไป พ. ศ. 2560 (ระยะ ที่ 1). สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข.
สุภาวดี อริพันธ์, บังอร เสาหงส์ , ระดาพร วิริยะกุล และอนุเชษฐ์ ทานะขันธ์. (2563). ผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการจัดการตนเองของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงมะยาง อำเภอลืออำนาจ จังหวัดอำนาจเจริญ. http://www.amno.moph.go.th/amno_new/files/2p11.pdf
อรุณ จิรวัฒน์กุล. (2550). ชีวสถิติ (พิมพ์ครั้งที่ 4). ภาควิชาชีวสถิติและประชากรศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
Ali, B., & Gray-Vickrey, P. (2011). Limiting the damage from acute kidney injury. Nursing, 41(3), 22-32. https://doi.org/10.1097/01.NURSE.0000394078.60229.0a
Berkman, N. D., Sheridan, S. L., Donahue, K. E., Halpern, D. J., & Crotty, K. (2011). Low health literacy and health outcomes: An updated systematic review. Annals of Internal Medicine, 155(2), 97-107. https://doi.org/10.7326/0003-4819-155-2-201107190-00005
Cavanaugh, K. L. (2011). Health literacy in diabetes care: Explanation, evidence, and strategies. Journal of Diabetes Science and Technology, 5(3), 440-445. https://doi.org/10.1177/193229681100500304
Edwards, M., Wood, M., Davies, M., & Edwards, A. (2012). The development of health literacy in a patient with a long-term health condition: the health literacy pathway model. Retrieved May 25, 2016 from http://www.biomedcentral.com
Kaeodumkoeng, K. & Tripetchsriurai, N. (2011). Health literacy. Health education division ministry of public health.
Lin, M. Y., Chiu, Y. W., Lee, C. H., Yu, H. Y., Chen, H. C., Wu, M. T., & Hwang, S. J. (2013). Factors associated with CKD in the elderly and nonelderly population. Clinical Journal of the American Society of Nephrology, 8(1), 33-40. https:doi.org/10.2215/CJN.05600612CJN.05600612
Mackey, L. M., Doody, C., Werner, E. L., & Fullen, B. (2016). Self-management skills in chronic disease management: What role does health literacy have? Medical Decision Making, 36(6), 741-759. https://doi.org/10.1177/0272989X16638330
Nutbeam, D. (2008). The evolving concept of health literacy. Social Science & Medicine, 67(12), 2072-2078. https://doi.org/10.1016/j.socscimed.2008.09.050
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2025 Interdisciplinary Academic and Research Journal

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ