ผลการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา หน่วยการเรียนรู้ สนามแข่งรถสุดหรรษาของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
DOI:
https://doi.org/10.60027/iarj.2025.288927คำสำคัญ:
ผลการจัดการเรียนรู้, วิทยาศาสตร์, แนวสะเต็มศึกษาบทคัดย่อ
ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: สะเต็มศึกษาเป็นการจัดการเรียนรู้โดยบูรณาการวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นให้นักเรียนเกิดองค์ความรู้และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปแก้ปัญหาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ สนามแข่งรถสุดหรรษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษากับเกณฑ์กับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เพื่อเปรียบเทียบการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้แนวสะเต็มศึกษากับเกณฑ์ร้อยละ 70
ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านทรัพย์เจริญ ตำบลวังชมภู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 จำนวน 15 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา หน่วยการเรียนรู้ สนามแข่งรถสุดหรรษา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ สนามแข่งรถสุดหรรษา และแบบประเมินการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ One Sample t-test
ผลการวิจัย: 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา หน่วยการเรียนรู้สนามแข่งรถสุดหรรษา มีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา หน่วยการเรียนรู้สนามแข่งรถสุดหรรษา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 นักเรียนมีคะแนนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
สรุปผล: การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษา ช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการเรียนรู้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ตามลำดับ ซึ่งนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้นและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
เอกสารอ้างอิง
จุฑารัตน์ เกาะหวาย. (2563). การพัฒนาหน่วยการเรียนรู้บูรณาการแบบ STEM เรื่อง เสียงสําหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ชลาธิป สมาหิโต. (2557). เอกสารประกอบการอบรมเชิงปฏิบัติการ การจัดกิจกรรมบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์สำหรับปฐมวัย. สมาคมอนุบาลแห่งประเทศไทย.
ปาริชาติ ปานศรี. (2563). ผลการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดพระประโทณเจดีย์ จังหวัดนครปฐม [วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
พรทิพย์ ศิริภัทราชัย. (2556). STEM Education กับการพัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21.
พิมพ์พิชชา ศาสตราชัย. (2562). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวสะเต็มศึกษาร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือที่ส่งผลต่อการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ทักษะการทํางานเป็นทีมและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 [วิทยานิพนธ์ ค.ม.]. มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.
ภัสสร ติดมา. (2558). การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เรื่องระบบร่างกายมนุษย์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมตามแนวทางสะเต็มศึกษา [วิทยานิพนธ์ ศศ.ม.]. มหาวิทยาลัยนเรศวร.
โรงเรียนบ้านทรัพย์เจริญ. (2566). รายงานการประกันคุณภาพการศึกษา ประจำปีการศึกษา 2566.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2553). ครูคณิตมืออาชีพ 2. กรุงเทพฯ: สหมิตรพริ้นติ้งแอนด์พับลิสชิ่ง.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2557). การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของ สกสค.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2560). คู่มือกิจกรรมสะเต็มศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6) เล่ม 2. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของ สกสค.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2544). แนวทางการนำนโยบายปฏิรูปการศึกษาไปสู่การปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2546). รายงานผลการติดตามและประเมินผลการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษแรก (พ.ศ. 2542–2551). กรุงเทพฯ: พริกหวานกราฟฟิค.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. (2553). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553. ราชกิจจานุเบกษา, 127(45 ก), 1.
สุคนธ์ สินธพานนท์, และคณะ. (2555). พัฒนาทักษะการคิดตามแนวปฏิรูปการศึกษา. กรุงเทพฯ: เทคนิคพริ้นติ้ง.
สุดารา ทองแหยม. (2566). ผลการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดสะเต็มศึกษาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่องไฟฟ้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 17(2), 20–37. https://so09.tci-thaijo.org/index.php/JOEMSU/article/view/1874
อนุสรา พุ่มพิกุล. (2562). ผลของการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาโดยใช้ปัญหาเป็นฐานที่เน้นกระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณที่มีต่อสมรรถนะการออกแบบวิธีการแก้ปัญหา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 [วิทยานิพนธ์ การศึกษามหาบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
O’Neill, G., Moore, S., & McMullin, B. (2012). Emerging issues in the practice of university learning and teaching. Dublin: AISHE.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Interdisciplinary Academic and Research Journal

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





