การพัฒนารูปแบบชุดการจัดกิจกรรมแนะแนวที่มีต่อความยับยั้งชั่งใจด้านการมี เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดชัยนาท
คำสำคัญ:
กิจกรรมแนะแนว, การยับยั้งชั่งใจด้านการมีเพศสัมพันธ์บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้ (1) เพื่อพัฒนารูปแบบชุดการสอนกิจกรรมแนะแนวที่มีต่อการยับยั้งชั่งใจด้านการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดชัยนาท (2) เพื่อหาประสิทธิภาพของชุดการสอนกิจกรรมแนะแนวที่มีต่อการยับยั้งชั่งใจด้านการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดชัยนาท (3) เพื่อประเมินประสิทธิผลของการใช้ชุดการสอนกิจกรรมแนะแนวที่มีต่อการยับยั้งชั่งใจด้านการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดชัยนาท 3.1) เปรียบเทียบการยับยั้งชั่งใจด้านการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดชัยนาท ของกลุ่มทดลอง ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และหลังการติดตามผล 3.2) เปรียบเทียบการยับยั้งชั่งใจด้านการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดชัยนาท ของกลุ่มควบคุม ก่อนการทดลอง หลังการทดลอง และหลังการติดตามผล
ผลการวิจัยพบว่า
1. การพัฒนารูปแบบชุดกิจกรรมฯ ประกอบด้วย5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นทดสอบก่อนเรียน 2. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 3. ขั้นทำกิจกรรม 4. ขั้นสรุป / ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 5. ขั้นประเมินผล โดยรูปแบบชุดกิจกรรมแนะแนวผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้น เน้นกระบวนการมีส่วนร่วมระหว่างผู้เรียนและผู้วิจัย กระตุ้นการคิดอย่างอิสระ โดยผู้วิจัยเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ (Access Facilitator)
2. คะแนนการประเมินประสิทธิภาพของชุดการสอนกิจกรรมแนะแนวที่มีต่อความยับยั้ง ชั่งใจด้านการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร มีค่าประสิทธิภาพเกินกว่าตั้งไว้ 80/80 แบบ E1/E2 แสดงว่าชุดกิจกรรมแนะแนวที่มีต่อความยับยั้งชั่งใจด้านการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตามที่ตั้งไว้
3. คะแนนประเมินประสิทธิผลของการใช้ชุดการสอนกิจกรรมแนะแนวที่มีต่อการยับยั้ง ชั่งใจด้านการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จังหวัดชัยนาท
ด้านความรู้เรื่องเพศศึกษา พบว่า กลุ่มทดลอง มีความรู้มากกว่ากลุ่มควบคุม ทั้งก่อน การทดลอง หลังการทดลอง และหลังการติดตามผล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ด้านเจตคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร พบว่า ในระยะก่อนการทดลอง ไม่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมในระยะหลังการทดลอง และหลังการติดตามผล พบว่า กลุ่มทดลองมีเจตคติต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรลดลงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ด้านพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร พบว่า ในระยะก่อนการทดลอง ไม่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมในระยะหลังการทดลอง และหลังการติดตามผล พบว่า กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมที่แสดงถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรลดลงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001
เอกสารอ้างอิง
Brahmawong Chaiyong. (1994). "Performance Tests" in Instructional Materials. Elementary 8 - 15. Unit 490 -493 Type 3 Bangkok: Sahamit Printing Factory.
Daengson, Chouwarit. (2015). Small Talks about Sex between Parents and Teenagers in the Northern Part of Thailand (Master’s Degree Thesis). Bangkok: Mahidol University.
Edwards, Jokeefe & Donna S.Berger. (1999). Self–Management. New York : AMACOM.
Kaemket, Wannee. (2006). Research Methodology in Behavioral Science, 2nd Edition.
Bangkok: Chulalongkorn University.
Nithakorn, Jurarath. (2013). A Follow-Up Study on a Survey and Solutions of Pre-Mature Pregnancy Problems (A Research Report). Health Department, Ministry of Public Health.
Punnawong Supawadee. (1986: 5).Guidance Psychology. Faculty of Education thaksin University.
Reproductive Health Office. (2010). A Report on Communication about Sex in Thai
Families. Agricultural Cooperatives in Thailand.
Rogers, Carl R. (1976). Client Centered Therapy. Boston : Houghton Company.
Sinthuravej, Somsak. (2007). Moving towards the Quality of Education. Bangkok: Thai Wattanapanit Printing Co.
Taweerat, Poungrat. (2000). Research Methodology in Behavioral and Social Sciences, 4th Edition. Bangkok: Educational and Psychological Testing Bureau, Sri Nakharinwirot University.
ดาวน์โหลด
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น

