ผลของโปรแกรมบูรณาการการตั้งเป้าหมายเข้ากับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์และผลสัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา (บดินทร ๓)

ผู้แต่ง

  • กนกกร เมตตาจิต นักศึกษาหลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว ภาควิชา จิตวิทยาการศึกษาและการแนว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

คำสำคัญ:

การตั้งเป้าหมาย, การสอนแบบสืบเสาะหาความรู้, แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อพัฒนาโปรแกรมบูรณาการการตั้งเป้าหมาย เข้ากับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ๒) เพื่อ เปรียบเทียบแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มทดลองก่อนและหลังการทดลอง ๓) เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลอง หลังการทดลอง ๔) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์ระหว่างกลุ่มควบคุมและกลุ่ม ทดลองหลังการทดลอง ๕) เพื่อเปรียบเทียบแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์ของกลุ่มควบคุม ก่อนและหลังการทดลอง งานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๒ ภาคการเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๖ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา ที่มีผลสัมฤทธิในวิชาวิทยาศาสตร์และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ตํา จํานวน ๕๐ คน สุ่มแบ่งกลุ่ม(random sampling) เป็นกลุ่มควบคุม และกลุ่มทดลองกลุ่มละ ๒๕ คน กลุ่มทดลองได้รับการสอนด้วย โปรแกรมบูรณาการการตั้งเป้าหมายเข้ากับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ ส่วนกลุ่มควบคุมสอน ตามปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ ๑) แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในวิชา วิทยาศาสตร์ และ ๒) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้การ ทดสอบค่าที (t-test )โดยกําหนดนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕ ผลการวิจัย พบว่า ๑) หลังการ ทดลองกลุ่มทดลองมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ . ๐๕ ๒) หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .๐๕ ๓) หลังการทดลองกลุ่มทดลองมีผลสัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์สูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .๐๕ ๔) หลังการทดลองกลุ่มควบคุมมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์สูงก่อน 

References

๑. ภาษาไทย
(๑) หนังสือ
กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด, ๒๕๕๑.
ณัฐพรหม อินทุยศ. จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพมหานคร: สถาบันการพลเรือน วิทยาเขตเพชรบูรณ์, ๒๕๕๓.
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, จิตวิทยาการศึกษา, กรุงเทพมหานคร: พิมพ์ดีจํากัด, ๒๕๕๓.
พรรณี ชูทัย เจนคิด จิตวิทยาการเรียนการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร : ต้นอ้อ แกมมี, ๒๕๓๕.
อรรวรรณี ลิมอักษร, จิตวิทยาการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ ๔. สงขลา: ภาควิชาจิตวิทยาและการแนะแนวมหาวิทยาลัยทักษิณ, ๒๕๕๑.
สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา คู่มือสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้บริหาร ครู และ นักเรียน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการประเมินตามโครงการนานาชาติ (PISA และ TIMSS). กรุงเทพมหานคร: บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จํากัด, ๒๕๕๔.
สุวัฒก์ นิยมค้า ทฤษฎีและทางปฏิบัติในการสอนวิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้ เล่ม ๒. กรุงเทพมหานคร: บริษัทเจเนอรัลบุคส์ เซนเตอร์ จํากัด, ๒๕๓๑.
๒. ภาษาอังกฤษ
(1) Book
Ikujiro Nonaka, The Knowledge-Creating Company,USA:Harvard Business School Press, 1998.
Margaret J. Wheatley, Leadership and the new science : Discovering order in achaotic world. 2 Edition, San Francisco : Berrett-Koehler Publishers, 1999.
P.M.Senge, The fifth discipline : the art and practice of the learning organization, New York: Doubleday,1990.
Thomas A. Stewart. Intellectualcapital. NewYork: Doubleday, 1997.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2015-04-15

How to Cite

เมตตาจิต ก. (2015). ผลของโปรแกรมบูรณาการการตั้งเป้าหมายเข้ากับการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ที่มีต่อ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์และผลสัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา (บดินทร ๓). วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์, 4(1), 180–189. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/245116