นโยบายการพัฒนาระบบทหารอาสาสมัครของกองทัพไทยโดยการสร้างแรงจูงใจ เข้าสู่การเป็นทหารกองประจำการ

ผู้แต่ง

  • พงษ์ศักดิ์ บัวศรี

คำสำคัญ:

การพัฒนาระบบทหารอาสาสมัคร

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ๑) เพื่อศึกษานโยบายการพัฒนาระบบทหารอาสาสมัครของกองทัพไทยโดยการสร้างแรงจูงใจเข้าสู่การเป็นทหารกองประจำการ ๒) เพื่อวิเคราะห์นโยบาย ตัวแบบโอกาส จุดแข็ง และจุดอ่อนของนโยบายทหารอาสาสมัคร และ ๓) เพื่อศึกษาผลกระทบ และนำเสนอนโยบายการพัฒนาระบบทหารอาสาสมัคร โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed MethodResearch) คือการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญประกอบด้วย ผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพ จำนวน ๒๒ คน ที่ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับการตรวจเลือกทหาร จำนวน ๒๐ คน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหาประกอบด้วย การแปรความ การตีความ และการวิเคราะห์ สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น ๐.๙๑๖๓ ใช้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นทหารกองประจำการที่สมัครใจเข้ารับราชการของกองทัพบก จำนวน ๔๐๐ คน คำนวณจากสูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ โดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน และกลุ่มตัวอย่างของกองทัพเรือ และกองทัพอากาศ จำนวน ๑๐๐ คน โดยการสุ่มแบบบังเอิญ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน  

ผลการวิจัยพบว่า ๑) นโยบายการพัฒนาระบบทหารอาสาสมัครของกองทัพไทยโดยการสร้างแรงจูงใจเข้าสู่การเป็นทหารกองประจำการ มีความเป็นไปได้สูง รัฐบาลต้องสนับสนุนงบประมาณให้กับกองทัพให้เพียงพอต่อการพัฒนาทหารกองประจำการ เพื่อนำไปใช้สร้างแรงจูงใจในการสมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการ ๒) กองทัพจะต้องเป็นผู้กำหนดระเบียบการใหม่ นำเสนอให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้ดำเนินการในการกำหนดนโยบายนี้ ซึ่งโอกาสที่นโยบายจะประสบผลสำเร็จมีความเป็นไปได้อย่างมากเพราะมีจุดแข็งคือ กองทัพได้คนที่เต็มใจเข้ามารับราชการ มีความรู้ มีประสิทธิภาพ เข้มแข็ง มีคุณภาพมีระเบียบวินัยสูง ทุ่มเทเสียสละให้กับกองทัพ มีอุดมการณ์ความรักชาติ ทำให้กองทัพมีคุณภาพเป็นหลักประกันในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญได้ครบถ้วน และสมบูรณ์ ส่วนจุดอ่อนของนโยบายทหารอาสาสมัครคือ กองทัพยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนงบประมาณ เพื่อดำเนินการในระบบทหารอาสาสมัคร และต้องแก้พระราชบัญญัติรับราชการทหารที่เกี่ยวข้องอีกหลายข้อ๓) ผลกระทบของนโยบายทหารอาสาสมัครคือ ต้องศึกษาในระยะยาว แต่น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีหากมีการนำไปสู่การปฏิบัติ เพราะสามารถทำให้กองทัพเข้มแข็งมากขึ้น แต่จะเกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมกับกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นทหารอาสาสมัคร
การสังเคราะห์ผลการวิจัยในการนำนโยบายไปปฏิบัติ ที่จะประสบผลสำเร็จจากการวิจัยคือกองทัพจะต้องจัดให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างแรงจูงใจเกี่ยวกับเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง การได้รับสวัสดิการ และสิทธิต่างๆ การดำเนินการรับทหารอาสาสมัครให้รับสมัครตั้งแต่อายุ ๑๘ ปีบริบูรณ์ขึ้นไปตามมาตรฐานของนานาชาติ ในระหว่างรับราชการ ต้องเพิ่มประสิทธิภาพให้กับทหารอาสาสมัครทั้งทางร่างกาย และจิตใจ สร้างทัศนคติที่ดีต่อกองทัพ สร้างขวัญกำลังใจ ปลูกฝังอุดมการณ์ความรักชาติให้โอกาสทางการศึกษาต่อในระหว่างรับราชการ สนับสนุนด้านการฝึกวิชาชีพก่อนปลดประจำการ และหลังปลดประจำการต้องประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ ๕ ประการคือ ๑) การสอบบรรจุเข้าโรงเรียนนายสิบทหารทั้ง ๓ กองทัพ ให้รับเฉพาะทหารอาสาสมัครเท่านั้น ๒) กองทัพจัดหางานรองรับหลังจากที่รับราชการครบ ๒ ปี เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงก้าวหน้าในอาชีพ ๓) สามารถรับราชการเป็นทหารกองประจำการต่อได้ถึงอายุ ๒๕ ปี หากมีใจรักในอาชีพทหารต้องการที่จะรับใช้ชาติต่อ ๔)ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหารชั้นประทวน หรือนายทหารสัญญาบัตรตามคุณวุฒิที่กำหนดไว้ และ ๕) ทหารอาสาสมัครที่ไม่มีงานรองรับเมื่อปลดประจำการควรมีบำเหน็จให้คนละ๓๐,๐๐๐ บาทหรือพิจารณาให้ตามความเหมาะสม เพื่อนำไปลงทุนประกอบอาชีพที่ตนถนัด และที่สำคัญที่สุดทุกฝ่ายต้องมีความมุ่งมั่น และจิตสำนึกในการปฏิบัติตามนโยบายการพัฒนาระบบทหารอาสาสมัครให้กับกองทัพต่อไป

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงกลาโหม. พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ.๒๔๙๗. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ ๗๑.ตอนที่ ๑๓. (๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗).
กุลธน ธนาพงศธร. หลักการกำหนดนโยบายของรัฐ. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,๒๕๔๖.
ณัฎฐพันธ์ เขจรนันทน์. การจัดการทรัพยากรบุคคล. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร :จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๔.
ทศพร ศิริสัมพันธ์. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
บุญทัน ดอกไธสง. การจัดการองค์การ. กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
พรจักร มนูธรรม. ระบบการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ากองประจำ การที่เหมาะสมกับ
สภาวการณ์ปัจจุบัน. เอกสารวิจัยส่วนบุคคล. วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร, ๒๕๕๒.
ยุทธ ไกยวรรณ์. หลักการทำวิจัยและการทำวิทยานิพนธ์. กรุงเทพมหานคร : พิมพ์ดี, ๒๕๕๐.
ลิขิต ธีรเวคิน. การเมืองการปกครองของไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๒ แก้ไขเพิ่มเติม.กรุงเทพมหานคร :มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๖.
วรเดช จันทรศร. ทฤษฎีการนำนโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ. กรุงเทพมหานคร : พริกหวานกราฟฟิ,๒๕๕๒.
ศุภชัย ยาวะประภาษ. นโยบายสาธารณะ. พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๕.
สมบัติ ธำรงธัญวงศ์. นโยบายสาธารณะ: แนวความคิด การวิเคราะห์ และกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. กรุงเทพมหานคร : เสมาธรรม, ๒๕๔๙.
สุจิตรา บุณยรัตพันธ์. ระเบียบวีธีวิจัยสำหรับรัฐประศาสนศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : จูนพับลิชชิ่ง, ๒๕๓๖.
สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์. ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : สถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, ๒๕๓๘.
เสกสรรค์ นิสัยกล้า. การนำนโยบายไปปฏิบัติ. กรณีศึกษากรุงเทพมหานคร. ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต รัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๕๐.
Bardach, Eugene. The Implementation Game : What Happens After a Bill Becomes Law. Cambridge, MA: MIT Press, 1977.
Dye, R. Thomas. Understanding Public policy. 5th Englewood Cliffs, New Jersey: Prentice-Hall, Inc., 1984.
Hertzberg, Frederick & others. The motivation to Work. New York: John Wiley and Sons, 1959.
Hodgetts, Richard M. Organizational Behavior: Theory and Practice. New York: Macmillan Publishing Company, 1991.
Maslow, A.H. Motivation and Personality. New York : Harper & Row, 1954.
Mazmanian, D.A., & Paul A. Sabatier. Implementation and Public Policy. Latham,Marryland : University Press of America, Inc, 1989.
Robbin, Stephen P. & Mary Coulter. Management. 4th ed. New Jersy : Prentice – Hall,Inc. Roberg, R.R., 1996.
Sharkansky, Ira. “Environment, Policy Output and Impact: Problem of Theory and Method in the Analysis of Public Policy.” in Ira Sharkansky ed. Policy Analysis in Political Science. Chicago, Illinois: Markham Publishing Company,1970.
Simon, H.A. Administrative Behavior. 3rd ed. New York : Free Press, 1971.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2020-07-17

รูปแบบการอ้างอิง

บัวศรี พ. . (2020). นโยบายการพัฒนาระบบทหารอาสาสมัครของกองทัพไทยโดยการสร้างแรงจูงใจ เข้าสู่การเป็นทหารกองประจำการ. วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์, 1(2), 96–114. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jssr/article/view/244924