การบริหารโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เพื่อสร้างวัฒนธรรมการอยู่ ร่วมกันของชุมชนต้นแบบภาคเหนือตอนล่าง
คำสำคัญ:
การบริหาร, โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5บทคัดย่อ
การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสาเร็จในการบริหาร
โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 จากชุมชนต้นแบบภาคเหนือตอนล่าง 2. เพื่อค้นหามาตรฐานทาง
วัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันตามหลักการของศีล 5 จากชุมชนต้นแบบภาคเหนือตอนล่าง 3. เพื่อเสนอ
รูปแบบการสร้างวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันโดยใช้กลไกการบริหารโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5
จากชุมชนต้นแบบภาคเหนือตอนล่าง ระเบียบวิธีวิจัยเป็นเชิงคุณภาพ (Qualitative re earch) โดย
เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดาเนินการตามรูปแบบวิธีการวิจัยเอกสาร
และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก จากผู้ให้ข้อมูลสาคัญ จานวน 27 ท่าน พื้นที่ที่ใช้ใน
การวิจัยในครั้งนี้ คือ ชุมชุนนครชุม จังหวัดกาแพงเพชร ชุมชุนหนองบัวใต้ จังหวัดตาก และชุมชน
วัดหนองพยอม จังหวัดพิษณุโลก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้าง โดยนา
ข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เนื้อหา การสังเคราะห์ข้อมูล เพื่อเข้าสู่กระบวนการถอดบทเรียนและค้นหา
รูปแบบการอยู่ร่วมกันโดยใช้กลไกโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 จากชุมชนต้นแบบภาคเหนือตอนล่าง
ที่เป็นหลักการเสริมสร้างความสมานฉันท์ตามกระบวนการสร้างวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกัน และ
ดาเนินการสนทนากลุ่มเฉพาะ โดยผู้เชี่ยวชาญจานวน 10 ท่าน เพื่อทาการยืนยันความสมบูรณ์ของ
ข้อมูล
ผลการวิจัยพบว่า
1. ปัจจัยที่ส่งผลสาเร็จในการบริหารโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 จากชุมชนต้นแบบ
ตามแนวทฤษฎี POSDCoRB ทั้ง 7 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านการวางแผน ปัจจัยด้านการบริหารองค์
ปัจจัยด้านการบริหารงานบุคคล ปัจจัยด้านการอานวยการ ปัจจัยด้านการประสานความร่วมมือ
ปัจจัยด้านการกากับติดตามและการรายงานผล ปัจจัยด้านการสนับสนุนและงบประมาณ พบว่า
ผลสาเร็จในพื้นที่ต้นแบบนั้น สาเหตุหลักเกิดขึ้นจากการขับเคลื่อนในระดับชุมชนอย่างจริงจัง โดยมี
องค์กรคณะสงฆ์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการทางาน มีส่วนงานราชการเป็นฝ่ายสนับสนุน
และประการสาคัญมีบ้านและชุมชนให้ความร่วมมือที่เกิดจากแรงศรัทธา ที่ประกอบด้วย บ้าน วัด
และส่วนราชการ เป็นต้น
2. การสร้างมาตรฐานและวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกัน โดยภาพรวมสามารถที่จะ
สังเคราะห์จากผลในการบริหารโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 จากชุมชนต้นแบบ พบว่า การสร้าง
มาตรฐานและวัฒนธรรมการอยู่ร่วม มีองค์ประกอบ ดังนี้คือ 1) ผู้นา หรือ ภาวะผู้นาในชุมชน เป็น
เครื่องมืออย่างหนึ่งที่ผลักดันให้โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ประสบความสาเร็จ ที่เกิดขึ้นจากความ
เชื่อถือที่ส่งผลต่อปฏิบัติตามได้ คือ ทั้งฝ่ายอาณาจักรและฝ่ายศาสนจักร จะต้องเป็นผู้ที่จะกาหนด
แนวทางให้เกิดการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เป็นบุคคลที่สามารถที่จะทาให้ชุมชนมีการ
เปลี่ยนแปลงได้ 2) จิตวิญญาณของชุมชน หรือ อุดมการณ์ คือ ความศรัทธาหรือความเชื่อ เป็น
กลไกที่ทาให้โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ประสบความสาเร็จ หากชุมชนขาดจิตวิญญาณ หรือ
อุดมการณ์ ก็จะส่งผลให้การทางานขาดเสถียรภาพ ต่างคนต่างคิด ไม่สามารถกาหนดทิศทางการ
ทางานได้ และจิตวิญญาณ หรือ อุดมการณ์ นี้จะต้องเกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ 3) กิจกรรมที่เน้น
การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน ที่ผ่านมาโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 มีข้อดีอยู่หลายประการ แต่
ประการสาคัญ คือ ทาให้พระสงฆ์มีประสบการณ์ในการบริหารโครงการมากยิ่งขึ้น เช่นการติดต่อ
ประสานงานทั้งองค์กรคณะสงฆ์ และส่วนงานราชการ ซึ่งมีส่วนทาให้พระสงฆ์เกิดความเข้มแข็ง
ยิ่งขึ้น และเป็นตัวทาให้พระสงฆ์มีทักษะในการบริหารโครงการ เช่น มีองค์ความรู้ในการประเมินผล
สาเร็จของการดาเนินโครงการ 4) กฎกติกาชุมชน ที่เกิดขึ้นจาก 3 องค์ประกอบ เป็นตัวถักทอให้เกิด
วัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันภายใต้หลักการของศีล 5 และจะสาเร็จขึ้นได้ต้องมีองค์ประกอบ คือ
จะต้องทาให้สมาชิก ระดับบุคคล ระดับครอบครัว และระดับชุมชนส่วนใหญ่เคารพกฎกติกา มีส่วน
ในการสร้างกฎกติกา และใช้เครื่องมือนั้นในการบังคับคนในชุมชนปฏิบัติตามกฎกติกา
3. รูปแบบการอยู่ร่วมกันโดยใช้กลไกการบริหารโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 จากชุมชน
ต้นแบบ ค้นพบว่า มีอยู่ 2 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบการสร้างวัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกันโดยใช้กลไก
การบริหารโครงการหมู่บ้านรักษา 5 แบบแนวราบ ที่เกิดขึ้นได้ด้วยการผสานความร่วมมือในการ
ทางานของชุมชน 2) รูปแบบการสร้างวัฒนธรรมในการอยู่ร่วมกันโดยใช้กลไกการบริหารโครงการ
หมู่บ้านรักษา 5 แบบแนวดิ่ง เกิดขึ้นโดยกระบวนการสั่งการ อย่างไรก็ตามทั้ง 2 รูปแบบนี้ มี
เป้าหมายที่ตอบสนองต่อนโยบายโครงการหมู่บ้านที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่ต้องการให้สังคมเกิด
ความสงบสุข
References
จักรวาล สุขไมตรี. (2558). “รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธจริยธรรมระดับอุดมศึกษา”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์.บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
นาคม ธีรสุวรรณจักร. (2554). “รูปแบบการบริหารงานตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดีขององค์การบริหารส่วนตาบลจังหวัดราชบุรี”. วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
บุญหนา จิมานัง และคณะ. (2550). พฤติกรรมการรักษาศีลห้าของเด็กเยาวชนตาบลโคกสี อาเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น. รายงานการวิจัย. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยวิทยาเขตขอนแก่น. สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
บุษรา วงศ์รักศักดิ์. (2555).“ภาวะผู้นาการบริหารงานท้องถิ่นไทยสู่ความเป็นเลิศ”. ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต รัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
พระครูนิวิฐศีลขันธ์ ณรงค์ ฐิตวฑฺฒโน. (2557). “รูปแบบการพัฒนาทุนมนุษย์ตามหลักพุทธธรรมในองค์ปกครองส่วนท้องถิ่น”. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระครูอุทัยกิจจารักษ์ สุรางค์สุจิณฺโณ. (2557). “รูปแบบการบริหารจัดการเผยแผ่พระพุทธศาสนาขององค์กรปกครองคณะสงฆ์ ภาค 2”. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาการจัดการเชิงพุทธ. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระมหากฤษฎา กิตฺติโสภโณ แซ่หลี. (2558). “การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ ด้วยการขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา”. รายงานการวิจัย.มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
พระมหาสมบูรณ์ วุฑฺฒิกโร. ดร. (2556). “พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม : กระบวนทัศน์ใหม่เกี่ยวกับเบญจศีล”. บัณฑิตศึกษาปริทรรศน์. ปีที่ 9 ฉบับพิเศษ เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก.
วาสิตา เกิดผล ประสพศักดิ์. (2558). “แบบจาลองการบริหารเชิงพุทธบูรณาการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น”. วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
อนุรักษ์ นวพรไพศาล. (2551). “รูปแบบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้คู่คุณธรรมจริยธรรมในระดับอุดมศึกษา”. รายงานการวิจัย. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ.
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2020 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น