การส่งเสริมจริยธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของบุคลากร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง
คำสำคัญ:
การส่งเสริม, จริยธรรม, ตามแนวพระพุทธศาสนา, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้วัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ 1. เพื่อศึกษาหลักพุทธธรรมเพื่อการส่งเสริม
จริยธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง 2.
เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการส่งเสริมจริยธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของบุคลากรองค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดระยอง และ 3. เพื่อนาเสนอรูปแบบการส่งเสริมจริยธรรมตามแนว
พระพุทธศาสนาของบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง
ระเบียบวิธีวิจัยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methods Research) ระหว่างการวิจัย
เชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสาคัญ (In-depth
interview) จานวน 19 รูป/คน เลือกแบบเจาะจงจากผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือในการเก็บข้อมูล ได้แก่
แบบสัมภาษณ์เชิงลึกที่มีโครงสร้าง เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว การวิจัยเชิงปริมาณ
เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหาร พนักงาน พนักงานจ้าง จานวน 361 คน สุ่มตัวอย่างแบบ
ง่าย จากประชากร 3,676 คน เครื่องมือเก็บข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ
เท่ากับ 0.955 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ทดสอบสมมติฐานด้วยการหาค่าสัมประสิทธิ์การถดถอย เป็นการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า
1. หลักพุทธธรรมเพื่อการส่งเสริมจริยธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของบุคลากรองค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง พบว่า ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการส่งเสริมหลักพุทธธรรม
เพื่อการส่งเสริมจริยธรรมตามหลักเวสารัชชกรณธรรม 5 ประการ คือ ธรรมทาความกล้าหาญ
โดยรวม พบว่า มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า
มีความคิดเห็นในระดับมาก 4 ด้าน และความคิดเห็นปานกลาง 1 ด้าน สามารถเรียงจากมากไปหา
น้อย คือ อันดับหนึ่ง คือ ด้านพาหุสัจจะ ได้สดับหรือศึกษามาก มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก
(อันดับสอง คือ ด้านศรัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก
อันดับสาม คือ ด้านศีล มีความประพฤติดีงาม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก อันดับสี่
คือ ด้านวิริยารัมภะ เพียรทากิจอยู่อย่างจริงจัง มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และ
อันดับห้า คือ ด้านปัญญา รู้ตอบ รู้ชัดเจนในสิ่งที่ควรรู้ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง
ตามลาดับ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการส่งเสริมจริยธรรมตามหลักภาวนา 4 คือ ธรรมที่ทา
ให้เป็นให้มีขึ้น โดยรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกข้อมี
ความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เรียงจากมากไปหาน้อย คือ อันดับหนึ่ง คือ ด้านกาย
ภาวนา พัฒนากาย มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก อันดับสอง คือ ด้านปัญญาภาวนา
การเจริญปัญญา พัฒนาปัญญา มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก อันดับสาม คือ
ด้านจิตภาวนา การเจริญจิต พัฒนาจิต มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก อันดับสี่ คือ
ด้านสีลภาวนา การเจริญศีล พัฒนาความประพฤติ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก
ตามลาดับ
2. การวิเคราะห์การพัฒนาการทางสติปัญญาเพื่อการพัฒนาจริยธรรมของบุคลากร
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง โดยรวม พบว่า มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก
เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทั้ง 3 ด้าน มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก เรียงจาก
มากไปหาน้อย คือ อันดับหนึ่ง ด้านระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับ
มาก อันดับสอง ด้านระดับก่อนเกณฑ์สังคม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก
อันดับสาม คือ ด้านระดับจริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณ มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก
ตามลาดับ ปัจจัยทฤษฎีการพัฒนาการทางสติปัญญามีอิทธิพลต่อการส่งเสริมจริยธรรม
ตามแนวพระพุทธศาสนาของบุคลากร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง โดยรวม อยู่ใน
ระดับต่า .227 มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ 0.52 ซึ่งปัจจัยทฤษฎีการพัฒนาการทาง
สติปัญญาส่งผลต่อการส่งเสริมจริยธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของบุคลากรองค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง ได้ร้อยละ 0.52 ผู้วิจัยได้ทาการทดสอบความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยการ
พัฒนาการทางสติปัญญามีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีจานวน 1 ด้าน ได้แก่ ด้านระดับ
จริยธรรมตามหลักการด้วยวิจารณญาณ
3. รูปแบบการส่งเสริมจริยธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาของบุคลากรองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง พบว่า 1) บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการรณรงค์การรักษา
ระเบียบวินัย ข้อบังคับ มีการดาเนินการทางวินัย ตัดสินใจด้วยเหตุผล มีจรรยาบรรณ มีความรู้
ความเข้าใจเกี่ยวกับการดาเนินงานทางวินัย มาตรฐานการลงโทษ ส่งเสริมการรับผิดชอบต่อหน้าที่
เพื่อรักษากฎระเบียบวินัย และยึดถือหลักการและแนวทางปฏิบัติเพื่อความถูกต้อง 2) บุคลากร
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการสร้างจิตสานึกตามแนวพุทธเพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น โดย
ยึดหลักคุณธรรมจริยธรรม ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และไม่มี ผลประโยชน์ทับซ้อน 3) บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีการสร้างเครือข่ายส่งเสริมด้าน
จริยธรรม มีการส่งเสริมให้บุคลากรสร้างเครือข่ายกับเพื่อนร่วมงานและองค์กรอื่นๆ เป็นเครือข่ายใน
การสร้างองค์ความรู้ด้านจริยธรรม เพียรพยายามพัฒนาองค์กรไปสู่ความสาเร็จอย่างต่อเนื่อง
โดยดาเนินตามโครงการเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมและการรักษาวินัย สาหรับผู้บริหาร สมาชิก
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและบุคลากร และส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ขนบธรรมเนียม ประเพณี
วัฒนธรรมท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่เป็นสากล และ 4) บุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
มีกระบวนการฝึกอบรมให้เกิดปัญญาในการส่งเสริมจริยธรรม ด้วยการตระหนักรู้เหตุผล รู้คิด
รู้วินิจฉัย และรู้หลักจริยธรรม มีการนาบุคลากรเข้าวัดฟังธรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมให้
บุคลากรประพฤติตนเป็นคนดี
เอกสารอ้างอิง
For Staff Of Local Administrative Organization According To
Buddhism”.(Doctoral Dissertation). Public Administration). Bangkok.
Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
Banchayuth Nakmoodjalin. (2555). “An Analysis of Organization of Buddhist
Propagation of the Uthaithani Buddhist Propagation Centre”. (Doctoral
Dissertation). (Buddhist Studies). Bangkok. Mahachulalongkornrajavid
yalaya University. Journal of MCU Social Science Review. Vol.5, No.2
(special Issue), May-August.
Creswell, J. W.. (2010). Qualitative Inquiry and Research Design: Choosing among
Five Traditions. Op. cit., p. 121.
Jagraval Sukmaitree. (2558). “The Model of Human Resource Development Based
on Buddhist Ethics in Higher Education.(Doctoral Dissertation). Public
Administration). Bangkok. Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
Phrakhrusamu Natthaset Athiyano. (2559). "The Development of Management on
Public Construction and Renovation of Sangha Administrators Region 11",
Journal of MCU Social Science Review. Vol.5, No.2 (special Issue), May-
August.
Sanu Mahatthanadull. (2559). “The Buddhist Integrated Approach to the Equilibrium
of the Human Body Systems”. (Doctoral Dissertation). (Buddhist Studies).
Bangkok. Mahachulalongkornrajavidyalaya University. Journal of MCU
Social Science Review. Vol.5, No.2 (special Issue), May-August.
Silverman, D.. (2000). Doing Qualitative Research: A Practical Handbook. London:
Sange, p. 90.
Strauss, A. and J. Corbin, (1990). Basics of Qualitative Research: Grounded Theory
Procedures and Techniques. Newbury Park, California: Sage, p. 249.
Wasita Kerdphol Prasopsak. (2558). Model of Integrated Buddhist Administration for
Local Administrative Organizations (Doctoral Dissertation). Public
Administration). Bangkok. Mahachulalongkornrajavidyalaya University.
Yamane, Taro. (1987). Statistics: An Introductory Analysis. New York: Harpen and Row,
p. 110.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2020 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น

