การพัฒนาการบริหารจัดการงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี
คำสำคัญ:
การพัฒนา, การบริหารจัดการ, งานสาธารณสงเคราะห์, คณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรีบทคัดย่อ
บทความนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาสภาพทั่วไปเกี่ยวกับการบริหารจัดการงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี 2. เพื่อศึกษากระบวนการในการบริหารจัดการงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี และ 3. เพื่อนำเสนอการพัฒนาการบริหารจัดการงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี
การวิจัยครั้งนี้ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยในการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ พระสังฆาธิการ ไวยาวัจกร และเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 20 รูป/คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จากนั้นจัดการสนทนากลุ่มเฉพาะ จำนวน 12 รูป/คน ใช้แบบบันทึกการสนทนากลุ่มเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาประกอบบริบท ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้แบบสอบถามซึ่งมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.977 เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ พระสงฆ์ในจังหวัดสุพรรณ จำนวน 345 รูป และนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
- 1. สภาพทั่วไปในการบริหารจัดการงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการดำเนินกิจการเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูล พบว่า คณะสงฆ์มีนโยบายส่งเสริมการดำเนินงานด้านสาธารณสงเคราะห์ทำให้สามารถดำเนินกิจการงานด้านสาธารณสงเคราะห์ได้อย่างถูกต้องตามหลักการและกฎหมาย ในปัจจุบันได้รับความร่วมมือจากประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะเห็นว่าทำเพื่อสาธารณประโยชน์อย่างแท้จริง 2) ด้านการช่วยเหลือเกื้อกูลกิจการของผู้อื่นเพื่อสาธารณประโยชน์ พบว่า พระสังฆาธิการมีความเข้าใจในชุมชนท้องถิ่นและเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของคนในชุมชนนั้นๆ โดยช่วยเหลือสนับสนุนส่งเสริมกิจการของรัฐหรือของเอกชน เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในชุมชน 3) ด้านการเกื้อกูลสาธารณสมบัติสถานที่อันเป็นสาธารณสมบัติ พบว่า พระสังฆาธิการเป็นผู้นำที่ดีสามารถชี้นำให้ชาวบ้านช่วยกันบำรุงรักษาสาธารณสมบัติของวัดและบริเวณชุมชน และ 4) ด้านการช่วยเหลือเกื้อกูลประชาชนและสรรพสัตว์ พบว่า คณะสงฆ์ไม่มีหน่วยงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนอย่างเป็นทางการซึ่งในปัจจุบันจะมีลักษณะเป็นหน่วยงานเฉพาะกิจ
- 2. กระบวนการในการบริหารจัดการงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี ตามหลักการบริหาร PDCA พบว่า ด้าน Plan (วางแผน) คณะสงฆ์มีการจัดการแต่งตั้งประธาน รองประธาน และคณะกรรมการอย่างเป็นทางการ เพื่อดำเนินการงานด้านนี้โดยเฉพาะ มีการจัดประชุมเพื่อทำแผนงานการดำเนินงาน และการกระจายงานให้กับพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสที่มีความคุ้นเคยกับชาวบ้าน โดยกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานผ่านหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล ด้าน Do (ปฏิบัติ) คณะสงฆ์ควรเข้าไปบริหารจัดการกิจการที่ดำเนินการหรือจัดทำโครงการขึ้นมาเอง ในลักษณะที่ทำเป็นกิจการประจำหรือชั่วคราว เช่น กิจการห้องสมุดเพื่อประชาชน การตั้งมูลนิธิ การตั้งกองทุน เพื่อช่วยเหลือคนยากจนหรือช่วยเหลือคราวประสบภัยพิบัติ หรือประสานงานระหว่างคณะสงฆ์ หน่วยงานราชการ และเอกชน การร่วมมือกันพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้า เช่น พัฒนาคนในท้องถิ่นให้มีความรู้ความสามารถ พัฒนาอาชีพให้กับชาวบ้านในชุมชนโดยเฉพาะอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมาย ด้าน Check (ตรวจสอบ) คณะสงฆ์ควรสร้างเครื่องมือที่เป็นรูปธรรม และสามารถตรวจสอบการบริหารจัดการงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์ได้ เพื่อทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการดำเนินงานสาธารณสงเคราะห์ในแต่ละชุมชน และหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่พบ ด้าน Act
(การดำเนินการให้เหมาะสม) เมื่อพบปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนก็มีการประชุมร่วมกันระหว่างคณะสงฆ์ หน่วยงานราชการ และชาวบ้านโดยมีผู้นำหมู่บ้านเป็นตัวแทนเพื่อจัดทำแผนงานการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น - 3. การพัฒนาการบริหารจัดการงานสาธารณสงเคราะห์ของคณะสงฆ์จังหวัดสุพรรณบุรี 4 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการดำเนินกิจการเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูล มีการวางแผนเพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันในการปฏิบัติงาน มอบหมายภาระงานให้แก่บุคลากรในชุมชนอย่างเหมาะสมสอดคล้องกับแผนงาน เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและมีการติดตามประเมินผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง 2) ด้านการช่วยเหลือเกื้อกูลกิจการของผู้อื่นเพื่อสาธารณประโยชน์ คณะสงฆ์มีการจัดประชุมระดับเจ้าอาวาสเพื่อมอบนโยบายในการจัดพื้นที่ให้บริการแก่ชุมชน มีการประสานงานให้ชาวบ้านช่วยกันดูแลสิ่งปลูกสร้างและอาคาร เสนาสนะ ให้เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ มีการตรวจสอบพัฒนาสถานที่สำหรับใช้สอยประโยชน์แก่ชุมชน 3) ด้านการเกื้อกูลสาธารณสมบัติสถานที่อันเป็นสาธารณสมบัติ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบภายในโดยความเห็นชอบของประชาชนชุมชนรอบวัดเพื่อตรวจสอบถึงความโปร่งใสในการบริการสาธารณสมบัติ ทำการลงพื้นที่สำรวจสาธารณสมบัติในชุมชน
จดบันทึกและทำทะเบียนสาธารณสมบัติในชุมชน แล้วบูรณปฏิสังขรณ์หรือก่อสร้างสาธารณสมบัติให้เป็นไปตามรูปแบบเดิมเพื่อรักษาศิลปะพื้นบ้านเอาไว้ 4) ด้านการเกื้อกูลประชาชนหรือสรรพสัตว์ มีการประชุมวางแผนในการช่วยเหลือเกื้อกูลแก่ประชาชนให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ ให้คำปรึกษาปัญหาในการดำเนินชีวิตของประชาชนตามหลักพุทธวิถีอย่างเหมาะสม และมีการบรรเทาช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2019 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น

