การเสริมสร้างความเข้มแข็งในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดปัตตานี
คำสำคัญ:
การส่งเสริมความเข้มแข็ง, การบริหารกิจการคณะสงฆ์บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาและวิเคราะห์สภาพปัจจุบันและบริบทในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดปัตตานี ๒) เพื่อวิเคราะห์หลักธรรมาภิบาลในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดปัตตานี ๓) เพื่อนำเสนอแนวทางการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดปัตตานี ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี ประกอบด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน ๒๒ รูป/คน และการสนทนากลุ่มเฉพาะของผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน ๑๒ รูป และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพระสงฆ์ในเขตปกครองจังหวัดปัตตานี จำนวน ๓๐๐ รูป วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนาและสถิติอนุมาน
ผลการวิจัยพบว่า
๑. สภาพปัจจุบันและบริบทในการบริหารการกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดปัตตานี พบว่า ด้านการปกครอง ยึดตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และกฎหมายบ้านเมือง มีการนำนโยบายไปใช้ในการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยผู้ปฏิบัติหน้าที่ปฏิบัติโดยเล็งเห็นความสำคัญกับส่วนรวมเป็นสำคัญ มีปกครองตามลำดับชั้น ด้านศาสนศึกษา ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อให้พระภิกษุและสามเณรมีความรู้ความสามารถ ส่งเสริมให้มีการเรียนพระปริยัติธรรมทั้งแผนกธรรมและบาลี โดยมีการกำหนดให้พระภิกษุที่บวชใหม่จะต้องเรียนข้อวัตรปฏิบัติเบื้องต้นเพื่อให้สามารถนำหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ส่งเสริมการสร้างโรงเรียนไว้ภายในวัด มีการตั้งทุนสงเคราะห์และทุนการศึกษา เช่น การมอบทุนการศึกษา มอบอุปกรณ์ทางการศึกษาแก่ภิกษุ สามเณร และประชาชนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ทางการศึกษาด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีการแสดงพระธรรมเทศนาภายในวัด ส่งเสริมให้เยาวชนมีการเรียนรู้คู่คุณธรรม มีการสนับสนุนให้มีการปฏิบัติวิปัสสนาภายในวัด ด้านสาธารณูปการ มีการบูรณปฏิสังขรณ์และพัฒนาวัดให้คงสภาพเดิมเพื่อเป็นเอกลักษณ์ทางพระพุทธศาสนา ด้านการสาธารณะสงเคราะห์ มีการสงเคราะห์ทั้งทางด้านจิตใจโดยใช้หลักธรรมสงเคราะห์ประชาชน และหากประชาชนประสบภัยพิบัติ คณะสงฆ์ก็คอยให้ความช่วยเหลือทั้งในด้านสิ่งของและการให้เข้ามาพักพิงในสถานที่ของวัด
๒. การใช้หลักธรรมาภิบาลในการเสริมความเข้มแข็งในบริหารกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดปัตตานี คณะสงฆ์มีการเชื่อมโยงกิจกรรมของวัดให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมปัจจุบัน โดยบูรณาการให้สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล ได้แก่ ๑) ด้านการปกครอง คณะสงฆ์มีการใช้กฎระเบียบต่างๆ ในการปกครองอย่างเสมอภาค และยึดคุณธรรมเป็นหลัก ๒) ด้านการศาสนศึกษา มีการปฏิบัติโดยยึดหลักความรับผิดชอบเป็นอันดับแรก ยึดหลักคุณธรรมในการจัดการเพื่อให้เกิดความยุติธรรม อาศัยหลักการมีส่วนร่วมจากหลายๆ ฝ่าย ๓) ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ยึดหลักคุณธรรมในการสงเคราะห์ ขณะเดียวกันต้องใช้หลักการมีส่วนร่วม เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าร่วม ๔) ด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีการยึดหลักความรับผิดชอบและหลังหลักนิติธรรมในการเผยแผ่ กล่าวคือ ผู้เผยแผ่ต้องรับผิดชอบต่อการกระที่ได้ทำลงไป และอยู่ในกฎระเบียบของคณะสงฆ์๕) ด้านการสาธารณูปการ ต้องยึดหลักความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป เน้นความคุ้มค่าต่องบประมาณที่ได้ลงทุนไป และ ๖) ด้านการสาธารณสงเคราะห์ ยึดหลักคุณธรรม และต้องทำด้วยความโปร่งใส และความคุ้มค่า โดยยึดหลักการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย
๓. แนวทางในการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการบริหารกิจการคณะสงฆ์ในจังหวัดปัตตานี ๑) ด้านการปกครอง ต้องให้ความสำคัญต่อการกำกับดูแลและบริหารจัดการให้เป็นไปตามกฎระเบียบและข้อบังคับที่มีกำหนดไว้ ปรับปรุงโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์โดยเน้นการกระจายอำนาจ มีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน ๒) ด้านการศาสนศึกษา ควรมีการจัดการศึกษาให้พระสงฆ์สามเณรและคฤหัสถ์ในวัดอย่างทั่วถึง ส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนนักธรรม บาลีแก่พระภิกษุสามเณร มีการยกย่องเชิดชูเกียรติผู้สอนปริยัติธรรม เปรียญธรรมและครูพระสอนศีลธรรมเพื่อให้มีขวัญกำลังใจในการทำงาน จัดอบรมเสริมความรู้ให้แก่บุคลากรอย่างต่อเนื่อง ๓) ด้านการเผยแผ่ มีการกำหนดนโยบายที่ชัดเจน คัดเลือกผู้มีความรู้ความสามารถเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ จัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านความรู้และทักษะแก่ผู้ที่ออกไปเผยแผ่ จัดหางบประมาณและสถานที่เพื่อใช้ในการเผยแผ่ ๔) ด้านการศึกษาสงเคราะห์ ควรมีการประชุมเพื่อวางแผนและกำหนดแนวทางในการจัดหางบประมาณและจัดตั้งทุนสงเคราะห์ ๕) ด้านสาธารณูปการ ควรจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อวางแผนจัดหาทุนและบริหารงบประมาณให้เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด ๖) ด้านสาธารณสงเคราะห์ มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประชาชนผู้ยากไร้ ผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ผู้ด้อยโอกาส นอกจากนี้ควรมีการทำกิจกรรมร่วมกันกับหน่วยงานราชการและองค์กรอื่นๆ เช่น การจัดทำโครงการฝึกอบรมอาชีพ การดูแลด้านสาธารณสุข เป็นแกนนำในการพัฒนาชุมชนร่วมกับหน่วยงานต่างๆ
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2019 วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายลิขสิทธิ์ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องลงลายมือชื่อในแบบฟอร์มใบมอบลิขสิทธิ์บทความให้แก่วารสารฯ พร้อมกับบทความต้นฉบับที่ได้แก้ไขครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ผู้นิพนธ์ทุกท่านต้องยืนยันว่าบทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์นั้น ได้ส่งมาตีพิมพ์เฉพาะในวารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น หากมีการใช้ภาพหรือตารางหรือเนื้อหาอื่นๆ ของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อบรรณาธิการ ก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ หากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดเบื้องต้น ทางวารสารจะถอดบทความของท่านออกโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น

