ผลของโปรแกรมการควบคุมอาหารชะลอไตเสื่อมในคลินิกชะลอไตเสื่อม โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี

Main Article Content

ธัญญพัทธ์​ สุนทรานุรักษ์
นวลอนงค์ หุ่นบัวทอง
อัชพร แสงอุทัย

บทคัดย่อ

การวิจัยนี้เป็นการศึกษาจากเหตุไปหาผลแบบย้อนหลัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอัตราการกรองของไต (eGFR) ของผู้ป่วยภาวะไตเสื่อม  โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานีก่อนและหลังการเข้าโครงการชะลอไตเสื่อม และเพื่อวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่อการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่อการกรองของไตลดลง กลุ่มประชากรที่ศึกษาคือ กลุ่มผู้ป่วยโรคไตเสื่อมระยะ 3 และ 4 ที่รับการรักษาที่คลินิกชะลอไตเสื่อม โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านใหม่จำนวน 48 คนในช่วง สิงหาคม 2561 ถึง มกราคม 2563 จำนวน 48 คน โดยบันทึกข้อมูลพื้นฐานทางการแพทย์ ข้อมูลทางห้องปฏิบัติการ และแบบบันทึกเยี่ยมบ้าน สถิติที่ใช้เป็นค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความถี่  ร้อยละ  วิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบ paired  t-test  และ chi-square test ที่ความเชื่อมั่น 95% confidence interval


ผลการวิจัยพบว่าผู้ป่วยไตเสื่อมเป็นเพศหญิงร้อยละ 58.30 อายุเฉลี่ย 72 ปี  มีสถานภาพการสมรสพบว่าสมรส 31 คน (ร้อยละ64.58)  หม้าย 16 คน (ร้อยละ 33.33) เป็นโสด 1 คน(ร้อยละ 2.08) สิทธิการรักษาส่วนใหญ่เป็นสิทธิ์ผู้สูงอายุ 43 คน (ร้อยละ 89.58) ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีผู้ดูแลจำนวน 46 คน(ร้อยละ 95.83) ผู้ป่วยไม่มีผู้ดูแลจำนวน 2 คน (ร้อยละ 4.17) แบ่งเป็นผู้ป่วยโรคไตระยะ 3a จำนวน 32 คน (ร้อยละ 66.67) ระยะ 3b จำนวน 13 คน (ร้อยละ 27.08) ระยะ 4 จำนวน 3 คน (ร้อยละ 6.25) มีผู้ดูแลจำนวน 46 คน (ร้อยละ 95.83) ไม่มีผู้ดูแล 2 คน (ร้อยละ 4.17) ผู้ป่วยไตเสื่อมก่อนเข้าโครงการมีอัตราการกรองของไตเฉลี่ย 48.72 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เมื่อเข้าโครงการชะลอไตเสื่อมแล้วมีอัตราการกรองของไตเฉลี่ย 53.19 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เมื่อเปรียบเทียบผู้ป่วยไตเสื่อมที่เข้าโครงการชะลอไตเสื่อมมีค่าการกรองของไตมากขึ้นกว่าก่อนเข้าคลินิกชะลอไตเสื่อมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ p<0.001 (95% CI 1.86-7.09)  เมื่อได้เข้าโครงการชะลอไตเสื่อมพบว่าความดันโลหิตลดลงกว่าก่อนเข้าโครงการอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ค่าเฉลี่ยของระดับความดันโลหิต (143.46/73.70, 122.49/68.34 มิลลิเมตรปรอท) P<0.001 (95% CI 14.54-26.79)   ในส่วนของการเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างระดับความดันโลหิตที่ควบคุมได้(systolic blood pressure < 130 มิลลิเมตรปรอท)กับที่มาของอาหารที่นำมาบริโภคพบว่าผู้ป่วยที่ประกอบอาหารกินเองสามารถควบคุมความดันโลหิตได้ตามมาตรฐานมากกว่าผู้ป่วยที่ซื้ออาหารกินอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P=0.02) อย่างไรก็ตามค่าดัชนีมวลกาย และเส้นรอบเอว ค่า HbA1C พบว่าก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการไม่แตกต่างกัน

Downloads

Download data is not yet available.

Article Details

How to Cite
1.
บท
นิพนธ์ต้นฉบับ

References

1.Ingsathit A, Thakkinstian A, Chaiprasert A, Sangthawan P, Gojaseni P, Kiattisunthorn K; the Thai-SEEK Group. Prevalence and risk factors of chronic kidney disease in the Thai adult population: Thai SEEK study. Nephrol Dial Transplant 2010; 25: 1567-75.

2.สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย. คำแนะนำสำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังก่อนการบำบัดทดแทนไต พ.ศ.2558. กรุงเทพมหานคร.2552.

3.สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.รายงานการสร้างระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติประจำปีงบประมาณ 2562. กรุงเทพหมานคร : สำนักนโยบายและแผน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.2562.
4.กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง สำนักโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข. คู่มือปฏิบัติการเพื่อดำเนินงานลดโรคไตเรื้อรัง (CKD) ในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง.กรุงเทพมหานคร: องค์กรสงเคราะห์ทหารผ่านศึก; 2559.

5.Rumeyza Kazancioglu. Risk factors for chronic kidney disease: an update. International Society of Nephrology 2013 ; 3 : 368-71.

6.ประเสริฐ ธนกิจจารุ. สถานการณ์ปัจจุบันของโรคไตเรื้อรังในประเทศไทย. วารสารกรมการแพทย์ 2558 ; 5-18.

7.รัตตินันท์ สิงห์ประเสริฐ, นิโรบล กนกสุนทรรัตน์, วรวรรณ ชัยลิมปมนตรี. ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยพยาบาลผู้ปฏิบัติการขั้นสูงต่อผลลัพธ์ทางคลินิกในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังก่อนได้รับการบำบัดทดแทนไต. วารสารการปฏิบัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์ไทย 2561; 5(1): 57-74.

8.Wei Zheng, Geng Qian, Wenjun Hao, Xiaodong Geng, Quan Hong, Guangyan Cai, et al. Cardiovascular metabolic risk factors and glomerular filtration rate: a rural Chinese population study. Lipids in Health and Disease 2016; 15(180) : 2-5.

9.Rotsukon Varitsakul. Dietary management for slow progression in patients with diabetic kidney disease. Journal of The Royal Thai Army Nurses 2014; 15(1): 22-8.

10.Rational drug use subcommittee. Rational drug use hospital manual. Nonthaburi: The Agricultural Cooperative Federation of Thailand; 2015.

11.สิริมา วรนาวิน,สกลวรรณ ประพฤติบัติ. การประเมินการใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์เชิงปริมาณในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ณ แผนกผู้ป่วยนอก ในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง. Thai Journal of Pharmacy Practice 2020; 12(1) : 11-23.

12.ธีรพล เมืองไพศาล, สรวีย์ เตชะเทียมจันทร์, วงศ์ทิพารัตน์ มัณยานนท์. ผลประเมินการทำางานของไต ที่ 1 ปีหลังหยุดยา Non-steroidal anti-inflammatory drug ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ระยะที่ 2 ถึง 5 ที่ใช้ยา Non-steroidalanti-inflammatory drug อย่างต่อเนื่อง เทียบกับกลุ่มควบคุมโรคไตเรื้อรังในระยะเดียวกันที่ไม่มีประวัติใช้ยา. วารสารกรมการแพทย์ 2560; 42(3) : 52-62.

13.ไพศาล ไตรสิริโชค, หลั่งพร อุตรศาสตร์, วราทิพย์ แก่นการ. ผลของการสนับสนุนการจัดการตนเองโดยทีมสหสาขาวิชาชีพเพื่อชะลอโรคไตเรื้อรังในหน่วยบริการปฐมภูมิโรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น. ศรีนครินทร์เวชสาร 2562; 34(6) : 552-8.

14.สมคิด สุภาพันธ์. การพัฒนารูปแบบการชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิตสูงด้วยการจัดการรายกรณี โรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ. วารสารวิชาการสาธารณสุข 2562; 28(5) : 857-66.

15.Sakkarin Suwanwaha, Tipaporn Wonghongkul, Sirirat Panuthai, Jindarat Chaiard. Effectiveness of Self-Management Enhancement Program for Thais with CKD at Pre-dialysis Stages: A Randomized Controlled Trial. Pacific Rim Int J Nurs Res 2016; 20(4) : 320-36.