การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้พลศึกษาของนักศึกษาครูมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง

อภิรักษ์ คำเสนาะ
Thailand
ปิญาภรณ์ พิชญาภิรัตน์
Thailand
ภูมิพงศ์ จอมหงษ์พิพัฒน์
Thailand
คำสำคัญ: การพัฒนารูปแบบ, การเรียนการสอน, วิทยาศาสตร์การกีฬา, สมรรถนะการจัดการเรียนรู้, พลศึกษา
เผยแพร่แล้ว: ธ.ค. 18, 2025

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาของนักศึกษาครูในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาครู 3) เปรียบเทียบผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาครูที่พัฒนาขึ้น และ 4) ประเมินความความพึงพอใจ และประเมินรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาครู โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงพัฒนา (Research and Development: R&D) กลุ่มเป้าหมาย ในการศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการในการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ อาจารย์ผู้สอนในสาขาพลศึกษา จำนวน 25 คน และนักศึกษาครู จำนวน 180 คน ซึ่งมาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และ สัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษา จำนวน 10 คน กลุ่มเป้าหมาย การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาครู ได้แก่ นักศึกษาครูสาขาพลศึกษา ชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 2 กลุ่ม รวม 54 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 27 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 27 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนรู้    2) แบบทดสอบวัดความรู้ด้านการเรียนการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬา 3) แบบประเมินสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬา และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบประเมินรูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าที (t-test) พร้อมการวิเคราะห์เชิงคุณภาพจากข้อมูลเชิงลึก


ผลการวิจัยพบว่า


  1. สภาพปัญหาและความต้องการในการจัดการเรียนรู้พลศึกษา ในความคิดเห็นของอาจารย์ผู้สอนอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.53, S.D. = 0.64) และนักศึกษาครูอยู่ในระดับมาก ( = 4.39, S.D. = 0.77) และผลการสัมภาษณ์เชิงลึก 10 คน การจัดการเรียนรู้พลศึกษาควรบูรณาการวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อพัฒนาสมรรถนะกศึกษาครูทั้ง 5 ด้าน โดยเน้นการมีส่วนร่วมผ่านเทคโนโลยีร่วมสมัยที่ช่วยให้ผู้เรียนประเมินและพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะมีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและแรงจูงใจ แต่สามารถแก้ไขได้ผ่านการออกแบบหลักสูตรที่ยืดหยุ่นและการสนับสนุนจากภาคีเครือข่ายภายนอกแนวทางนี้จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เชื่อมโยงการเรียนรู้เชิงวิชาการกับทักษะวิชาชีพของครูยุคใหม่ได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน.

  2. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬา รูปแบบที่ได้มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ด้าน ได้แก่ หลักการ จุดมุ่งหมาย เนื้อหา ขั้นตอนการเรียนรู้ 6 ขั้น และการประเมินผล โดยมีผลการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญ 10 คน มีความเหมาะสมในระดับ “เหมาะสมมากที่สุด” ( = 4.60,S.D. = 0.48)

  3. ผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอน กลุ่มทดลองมีคะแนนสมรรถนะการจัดการเรียนรู้พลศึกษาหลังเรียนสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

  4. ผลการประเมินรูปแบบการเรียนการสอน นักศึกษาครูที่เป็นกลุ่มทดลอง มีระดับความพึงพอใจต่อรูปแบบการเรียนการสอนอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.65, S.D. = 0.45) และ ผลการยืนยันรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ รูปแบบการเรียนการสอนมีความเหมาะสมในระดับ มากที่สุด ( = 4.60, S.D. = 0.48)

Downloads

Download data is not yet available.

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง

คำเสนาะ อ., พิชญาภิรัตน์ ป., & จอมหงษ์พิพัฒน์ ภ. . . (2025). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดวิทยาศาสตร์การกีฬาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้พลศึกษาของนักศึกษาครูมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง. วารสารการบริหารการปกครองและนวัตกรรมท้องถิ่น, 9(3), 259–276. https://doi.org/10.65205/jlgisrru.2025.289922

ประเภทบทความ

บทความวิจัย (Research Articles)

หมวดหมู่

เอกสารอ้างอิง

สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560). แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560–2579. สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ.

เจริญ กระบวนรัตน์. (2563). การพัฒนาความฉลาดทางพลศึกษา (Physical literacy) ผ่านกิจกรรมการเคลื่อนไหวสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา. วารสารวิชาการครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 15(2), 88–95.

ทิศนา แขมมณี. (2557). ศิลปะการสอน: จินตวิศวกรรมแห่งการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 14). สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

บุญชม ศรีสะอาด. (2558). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 9). สุวีริยาสาส์น.

พีระศักดิ์ กิ่งพุ่ม. (2553). แนวคิดและการจัดการเรียนรู้พลศึกษาสู่การพัฒนาสมรรถภาพทางกาย. สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา.

อมาวสี สว่างวงศ์, สุธนะ ติงศภัทิย์, และ ณัฐพร สุดดี. (2564). ผลของการจัดการเรียนรู้พลศึกษาตามแนวคิด Active learning ต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับประถมศึกษา. วารสารวิชาการและวิจัย มทร.พระนคร, 15(1), 105–118.

อัสรี สะอีดี, สิทธิศักดิ์ บุญหาญ, และ จิตรัตดา ธรรมเทศ. (2562). สมรรถนะครูพลศึกษาศตวรรษที่ 21. วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม, 18(1), 94–104.

ประจักษ์ พุ่มวิเศษ. (2549). การจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบบูรณาการ (พิมพ์ครั้งที่ 1). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

Dewey, J. (1938). Experience and education. Kappa Delta Pi.

Gagné, R. M. (1985). The conditions of learning and theory of instruction (4th ed.). Holt, Rinehart and Winston.

Gardner, H. (1983). Frames of mind: The theory of multiple intelligences. Basic Books.

Joyce, B., & Weil, M. (2011). Models of teaching (9th ed.). Allyn & Bacon.

Kolb, D. A. (1984). Experiential learning: Experience as the source of learning and development. Prentice Hall.

Light, R. (2015). Positive pedagogy for sport coaching: Athlete-centred coaching for individual sports. Routledge. https://doi.org/10.4324/9781315740361

Piaget, J. (1952). The origins of intelligence in children. International Universities Press.

Singh, H. (2012). Instructional design for deep learning: Creating knowledge-centered classrooms. Routledge.

Siedentop, D. (2012). Introduction to physical education, fitness, and sport (7th ed.). McGraw-Hill.