การส่งเสริมพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยด้วยเกมกีฬา

ผู้แต่ง

  • ซูเว่ย หยาง นิสิตระดับมหาบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาปฐมวัย คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0003-3383-3757
  • พีระพร รัตนาเกียรติ์ อาจารย์คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0009-0008-8095-116X

DOI:

https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275700

คำสำคัญ:

เกมกีฬา; , พฤติกรรมด้านสังคม;, เด็กปฐมวัย

บทคัดย่อ

ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: การที่เด็กต้องการเล่นกับเพื่อนและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ต้องการอิสระที่จะเรียนรู้ประสบการณ์รอบตัว ต้องการได้รับกำลังใจ และคำชมจากผู้ใหญ่ เป็นการตอบสนองความต้องการทางสังคมของเด็กปฐมวัย         การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการเล่นเกมกีฬา

ระเบียบวิธีการวิจัย: กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ เด็กปฐมวัยอายุ 5 - 6 ปี จำนวน 15 คน โรงเรียนอนุบาล Huilong Yayuan เขต Longgang เซินเจิ้นมณฑลกวางตุ้ง โดยมีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sample) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย แผนการจัดประสบการณ์เกมกีฬา จำนวน 8 แผน ได้แก่ 1) พาน้ำกลับบ้าน 2) นกหารัง 3) ปิดตาตามหาสมบัติ 4) วิ่งกระสอบเก็บลูกบอล 5) มดไต่ขอน 6) เก้าอี้ดนตรี 7) พาไข่เดิน 8) วิ่งสามขาทรงพลัง แบบประเมินพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัย จำนวน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านการแบ่งปัน ด้านการช่วยเหลือ และด้านความร่วมมือ โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบ Pre - Experimental Design สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละความก้าวหน้า

ผลการวิจัย: ค่าเฉลี่ยของพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยหลังการเล่นเกมกีฬา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 15.46 ค่าส่วนเบี่ยงมาตรฐานเท่ากับ 2.09 สูงขึ้นกว่าก่อนการจัดกิจกรรมเกมกีฬา ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.13 ค่าส่วนเบี่ยงมาตรฐานเท่ากับ 1.71 โดยมีร้อยละของความก้าวหน้าเท่ากับ 56.58

สรุปผล: ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการเล่นกีฬาส่งผลดีต่อพฤติกรรมทางสังคมของเด็กเล็กแสดงให้เห็นได้จากค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 11.13 เป็น 15.46 โดยมีเปอร์เซ็นต์ความก้าวหน้าที่ตรงกันที่ 56.58%

References

กรรณิการ์ สุริยะมาตร. (2560). การพัฒนากิจกรรมเสรีตามแนวคิดของไฮสโคป ในการพัฒนาพฤติกรรมทางสังคมของเด็กปฐมวัย. หลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการเรียนการสอนบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฎมหาสารคาม.

กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.

กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.

กุลยา ก่อสุวรรณ. (2553). การสอนเด็กที่มีความบกพร่องระดับเล็กน้อย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

จริยา สันตานนท์. (2553). การพัฒนาสัมพันธภาพทางสังคมของเด็กปฐมวัยโดยการจัดกิจกรรม การวาดภาพต่อเติมจากภาพปะติดเป็นกลุ่ม. วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.

นุชรี บัวโค. (2562). ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับทักษะทางสังคมของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.

มณิฐา นิตยสุข. (2563). ผลของการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาโดยใช้เกมนําไปสู่กีฬาที่มีต่อสมรรถภาพ กลไกของนักเรียนประถมศึกษากลไกของนักเรียนประถมศึกษา. หลักสูตรปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

วิชัย ประมูลจักโก. (2561). การพัฒนาโปรแกรมพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบใช้เกม สำหรับสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษามหาสารคาม เขต 2. หลักสูตร ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

สุมาลี บัวหลวง. (2557). ผลของการใช้เกมการเล่นกลางแจ้งที่มีต่อพฤติกรรมความร่วมมือของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัรฑิต: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี.

เอกศักดิ์ เฮงสุโข. (2559). ศักยภาพของชุมชนในการสร้างเสริมสุขภาพด้วยการออกกำลังกายของผู้สูงอายุ. SDU Research Journal Science and Technology, 10(3), 129-142.

Downloads

เผยแพร่แล้ว

2024-06-06

How to Cite

หยาง ซ., & รัตนาเกียรติ์ พ. . (2024). การส่งเสริมพฤติกรรมด้านสังคมของเด็กปฐมวัยด้วยเกมกีฬา. Interdisciplinary Academic and Research Journal, 4(3), 529–542. https://doi.org/10.60027/iarj.2024.275700