การจัดการภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านจังหวัดชัยภูมิ

ผู้แต่ง

  • อมรา เมฆนันทไพศิฐ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0009-0002-3833-1334
  • รังสรรค์ สิงหเลิศ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0002-2813-9552
  • แดนวิชัย สายรักษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม https://orcid.org/0000-0002-0953-4629

DOI:

https://doi.org/10.60027/iarj.2023.267400

คำสำคัญ:

การจัดการ; , ภาวะโภชนาการเกิน; , อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน

บทคัดย่อ

ภูมิหลังและวัตถุประสงค์: กระทรวงสาธารณสุขได้ตระหนักถึงปัญหาสุขภาพของประชาชนที่จะเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในภาวะอ้วนลงพุงจึงมีการรณรงค์โครงการ “คนไทยไร้พุง” หรือ “ลดอ้วนลดโรค” เพื่อให้เห็นปัญหาสุขภาพที่จะตามมาในอนาคตผู้ที่มีปัญหาความเสี่ยงต่อภาวะอ้วนลงพุง คือ ผู้ที่บริโภคเกินความจำเป็นของร่างกายบริโภคแป้ง น้ำตาลสูงและไขมันสูง การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (2) เพื่อสร้างรูปแบบการจัดการภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และ (3) เพื่อทดลองใช้และประเมินผลการจัดการภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน

ระเบียบวิธีการวิจัย: การวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดชัยภูมิ โดยกำหนดปัจจัยเชิงสาเหตุ 7 ปัจจัย กลุ่มตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในจังหวัดชัยภูมิ ที่ได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี จำนวน 392 คน แบ่งเป็น กลุ่มปกติ จำนวน 196 คน และ กลุ่มภาวะโภชนาการเกิน จำนวน 196 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Multiple Linear Regression Analysis กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ระยะที่ 2 การสร้างรูปแบบภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผู้วิจัยนำผลการวิจัยที่ได้จากการวิจัยระยะที่ 1 มาสร้างรูปแบบการจัดการ โดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ใช้การประชุมกลุ่มย่อย การระดมสมอง กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 25 คน แล้วส่งให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบอีกครั้งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนนำไปทดลองใช้ ระยะที่ 3 การทดลองใช้และประเมินผลการจัดการภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุข กลุ่มทดลอง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ที่มีภาวะโภชนาการเกิน ในเขตตำบลภูเขียว อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 4 หมู่บ้าน จำนวนทั้งสิ้น 30 คน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 4 หมู่บ้าน จำนวนทั้งสิ้น 30 คน(ที่ไม่ใช่กลุ่มทดลอง) นำผลการทดลอง ก่อนทดลองและหลังการทดลองใช้รูปแบบการจัดการ มาทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวน(ร่วม) หลายตัวแปรตาม (MANCOVA) โดยใช้ค่าวัดรอบเอว เป็นตัวแปรควบคุม (Covariate)

ผลการวิจัย:  (1) ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดชัยภูมิ ที่มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ 1) ความตระหนัก (0.779) 2) พฤติกรรมการเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย (-0.168) 3) พฤติกรรมการบริโภคอาหาร (0.155) และ 4) แรงจูงใจ (0.079) (2) ผลการสร้างแนวทางการจัดการภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ประกอบด้วย 8 กิจกรรม ได้แก่ 1) คนอ้วน 2) เสริมพลัง 3) หุ่นดี ชีวีมีสุข 4) กินดี มีสุข 5) ตั้งใจกิน 6) อยากหุ่นดี ต้องมีเป้าหมาย 7) คู่หู และ8) ขยับกาย สลายพุง และ (3) หลังการทดลองใช้การจัดการภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กลุ่มทดลอง มีการจัดการภาวะโภชนาการเกิน ดีกว่ากลุ่มควบคุม แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

สรุปผล: การศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขมีความสัมพันธ์ทางสถิติที่สำคัญ โดยมีความสำคัญมาจากความตระหนัก พฤติกรรมการเคลื่อนไหว การบริโภคอาหาร และแรงจูงใจ และแนวทางการจัดการภาวะโภชนาการเกินประกอบด้วย 8 กิจกรรม ที่ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน

เอกสารอ้างอิง

กมลวรรณ สาคร. (2557). รูปแบบการจัดการภาวะโภชนาการเกินของประชาชน จังหวัดบึงกาฬ. วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค: มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคามมหาสารคาม.

กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสุข. (2553). คู่มือการส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ. กรุงเทพฯ: องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก.

กระทรวงสาธารณสุข. (2550). ระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินค่าป่วยการของ อสม. ปี 2552. กรุงเทพ : กระทรวงสาธารณสุข.

กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข. (2551). สถานการณ์โรคทางระบาดวิทยา. กรุงเทพฯ: กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข.

กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข. (2550). หลักสูตร ฝึกอบรม มาตรฐานอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ปีพุทธศักราช 2550. กรุงเทพฯ: บริษัท เรดิเอชั่น จำกัด.

จรวยพร ธรณินทร์. (2544). การออกกำลังกายของคนอ้วน. นิตยสารใกล้หมอ. 23(2), 35.

จิตติวัฒน์ สุประสงค์สิน. (2544). วิเคราะห์เอกสารและผลการวิจัยภาวะโภชนาการเกิน. กรุงเทพฯ: เครือข่ายวิจัยสุขภาพ (สกว.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ.

นุชนาถ ชูเกียรติ. (2539). การสร้างแรงจูงใจในการส่งเสริมการรับบริการตรวจเซลล์มะเร็งปากมดลูกของสตรี ชนบทอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา. วิทยานิพนธ์ปริญญาสาธารสุขศาสตรมหาบัณฑิต: มหาวิทยาลัยมหิดล

ประพัฒน์ ลักษณพิสุทธิ์. (2554). หนุนเด็กไทยไร้พุง ออกกำลังกายรีดส่วนเกิน.หนังสือพิมพ์สยามรัฐ (ออนไลน์) 25 พฤษภาคม 2554, Retrieved from: https://www.thaihealth.or.th/หนุนเด็กไทยไร้พุง-ออกกำ/

รังสรรค์ สิงหเลิศ. (2558.) ระเบียบวิธีวิจัยและการใช้สถิติสำหรับการวิจัยทางสังคมศาสตร์. มหาสารคาม: บริษัท ทริปเพิ้ล กรุ๊ป จำกัด.

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), (2564). โรคอ้วน ประตูสู่ โรคร้าย ภัยเงียบอันตรายต่อสุขภาพ. กรุงเทพธุรกิจ (ออนไลน์) 04 มีนาคม 2564. Retrieved from https://www.thaihealth.or.th/โรคอ้วน-ประตูสู่-โรคร้าย/

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยภุมิ. (2562). ระบบข้อมูลสารสนเทศ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ. ชัยภูมิ: ศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ.

Brekler, M.H. (1974). The Health Belief Model and Personal Health Behavior. Health Education Monographs.

Hill, J.O., & Wyatt, H.R. (2005). Role of Physical activity in preventing and treating Obesity. Journal of Applied Physiology. 99(2), 765-70. doi:10.1152/japplphysiol.00137.2005

Yamane, T. (1973). Statistics: An Introductory Analysis. 3rd Edition, Harper and Row: New York.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2023-11-27

รูปแบบการอ้างอิง

เมฆนันทไพศิฐ อ. ., สิงหเลิศ ร. ., & สายรักษา แ. . (2023). การจัดการภาวะโภชนาการเกินของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านจังหวัดชัยภูมิ. Interdisciplinary Academic and Research Journal, 3(6), 413–434. https://doi.org/10.60027/iarj.2023.267400

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิชาการ