การพัฒนาการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์
DOI:
https://doi.org/10.14456/iarj.2023.146คำสำคัญ:
การพัฒนาการเรียนรู้; , การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ; , การสอนโดยใช้หลักการโฟนิกส์บทคัดย่อ
การพัฒนาการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้วิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์ เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนเพื่อแก้ปัญหาการอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ผู้วิจัยใช้ในการจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับหลักการสะกดคำโดยการเทียบหน่วยเสียงแต่ละหน่วยแล้วนำมาประสมกันเป็นพยางค์หรือคำ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนอ่านออกเสียงและสะกดคำได้อย่างถูกต้องและมีหลักเกณฑ์ตามวิธีการของโฟนิกส์ ซึ่งเป็นวิธีการอีกรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้นักเรียนพัฒนาความสามารถทางด้านทักษะการอ่านออกเสียงและสะกดคำ และสามารถนำประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 (2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์ (3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์ และ (4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนพระกุมารมหาสารคาม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 จำนวน 45 คน ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย (1) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 16 แผน (2) แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ จำนวน จำนวน 30 ข้อ และ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอนการอ่านออกเสียงและการสะกดภาษาอังกฤษ โดยใช้วิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการทดสอบค่า t (t- test) ผลการวิจัยพบว่า (1) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.37/79.86 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 (2) ค่าดัชนีประสิทธิผลของกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์ มีค่าเท่ากับ 0.5140 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนคิดเป็นร้อยละ 51.40 (3) ผลการเปรียบเทียบทักษะการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์มีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ (4) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงและการสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยวิธีการสอนตามหลักการโฟนิกส์ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 ซึ่งอยู่ในระดับมาก
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว.
ดวงใจ ตั้งสง่า. (2556). ชวนลูกเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ตอน โฟนิคส์คืออะไร ทำไมต้องเรียน. Retrieved on 13 July 2019, from: http://taamkru.com/th/โฟนิคส์คืออะไร-ทำไมต้องเรียน
ทศพร ตาดสุวรรณ์ (2550). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการเขียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต (สาขาการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน). คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุบลราชธานี.
นฤมล สุปินโน. (2558). ผลการใช้วิธีสอนแบบโฟนิกส์ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ และเจตคติ ต่อการอ่านแบบโฟนิกส์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านนาป่าแปก จังหวัดแม่ฮ่องสอน . มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช/นนทบุรี.
พิมภรณ์ พวงชื่น . (2561). การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการอ่านและสะกดคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.
มาลินี พุ่มมาลัย. (2558). การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง การสะกดคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีโฟนิกส์ (Phonics) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. พิษณุโลก: มหาวิทยาลัยนเรศวร.
รุ่งอรุณ โรจน์รัตนา และดำรง ไชยศรี. (2560). วิธีการสอนแบบโฟนิกส์. สารานุกรมศึกษาศาสตร์ (Encyclopedia of Education), 52(1), 48-55.
รุสลาน สาแม และเปรมินทร์คาระวี. (2558). พฤติกรรมการออกเสียงพยางค์หนัก-เบา ในคำภาษาอังกฤษจากผลของการสอนแบบฟัง-พูด ร่วมกับการสอนความรู้ทางสัทศาสตร์: การศึกษานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนศิริราษฎร์สามัคคี อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี. วารสารศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี, 26 (1), 85-99.
วนิดา โนนคำ. (2554). ผลการใช้วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ที่มีต่อความสามารถในการอ่านและความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีปัญหาในการเรียนรู้ โรงเรียนศรีจันทร์วิทยาคม รัชมังคลาภิเษก จังหวัดเพชรบูรณ์ . นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
อินทิรา ศรีประสิทธิ์. (2552). ทฤษฎีใหม่ในการสอนภาษาอังกฤษสำหรับคนไทย. การประชุมนานาชาติของ UNESCO-APEID และมหกรรมวันครูโลก ครั้งที่ 12 (English session) Teacher Training for Student Centered Learning (การอบรมครูในสภาพแวดล้อมที่มีนักเรียน เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้), 174-178. กรุงเทพฯ: มูลนิธิเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต.
Harris, T., & Hodges, R. (Eds.). (1995). The literacy dictionary (p. 207). Newark, DE: International Reading Association.
Krashen, S. (2004). The power of reading: insights from the research. 2nd edition. The USA. Retrieved from: http://ejournals.swu.ac.th/index.php/ENEDU/article/viewFile/10010/8493
Lewis, J. Windsor. (2002). The teaching of English pronunciation: The model accents. Journal of the International Phonetic Association, 17 (2), 139 – 141. DOI: https://doi.org/10.1017/S0025100300003364
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2023 วิดาด์ อัล บัททาห์, ภูษิต บุญทองเถิง, ทัศนีย์ นาคุณทรง

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ลิขสิทธิ์ในบทความใดๆ ใน Interdisciplinary Academic and Research Journal ยังคงเป็นของผู้เขียนภายใต้ ภายใต้ Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้ใดๆ เพื่ออ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือลิงก์ไปยังบทความฉบับเต็ม รวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือด้วยเจตนาที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจใดๆ





