การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง คำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตราของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ระหว่างการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STADกับการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ (4MAT)

Main Article Content

ประพันธ์ บุญพิมพ์
ผศ.ดร.ทัศนา ประสานตรี
ดร.สุเทพ ทองประดิษฐ์

Abstract

   การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างกลุ่มที่ได้รับการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD กับการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ (4 MAT) และ 2) ศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD กับ การเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ (4 MAT) ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 ในสังกัด กลุ่มโรงเรียนเครือข่ายขยายโอกาสท่าอุเทน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ทั้งหมด 7 โรง จำนวน 9 ห้อง รวมสิ้น 192 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 โรงเรียนชุมชน บ้านคำพอกท่าดอกแก้ว อำเภอท่าอุเทน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จำนวน 41 คน จาก 2 ห้อง เป็นกลุ่มทดลองที่ 1 จำนวน 20 คน จัดการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD และกลุ่มทดลองที่ 2 จำนวน 21 คน จัดการเรียนรู้แบบ วัฏจักรการเรียนรู้ (4 MAT) ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบกลุ่ม แล้วสุ่มอย่างง่ายโดยการจับสลากเพื่อเลือกห้องสำหรับการทดลอง เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ มีค่าความยากตั้งแต่ 0.34 ถึง 0.77 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.37 ถึง 0.81 และค่าความเชื่อมั่นมีค่าเท่ากับ 0.83 และแบบวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ที่มีต่อ การเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD กับการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ (4 MAT) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 3 ระดับ จำนวน 10 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.36 ถึง 0.62 และ 0.34 – 0.61 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.84 และ 0.79 ตามลำดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t-test (Independent Samples) ผลการวิจัย พบว่า 1) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD (x = 26.65 ค่า S.D. = 1.84) มีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนรู้แบบ วัฏจักรการเรียนรู้ (4MAT) (x = 25.24 ค่า S.D. = 1.18) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .012) นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ STAD และแบบวัฏจักรการเรียนรู้ (4MAT) ต่างมีความพึงพอใจ ต่อวิธีการสอนที่ได้รับอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.78 และ 2.69 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.49 และ 0.47

    The purposes of the research were to 1) Compare the students’ learning achievement between using STAD Cooperative Learning and 4 MAT learning cycle, and 2) Study the students’ satisfaction towardslearning by using STAD Cooperative Learning and 4 MAT learning cycle. 192 Prathom suksa 3 students studying in the 1st semester in an academic year 2011 at 7 schools in Tha-Uthen network under the Office of Nakhon Phanom Primary Educational Service area 2, were population of the study. The sample consisted of 41 Prathom Suksa 3 students studying at Chumchon Bankumpokthadokgaew School, Tha-Uthen District, Nakhon Phanom Province, selected by the purposive sampling technique. 20 students were taught the STAD Cooperative Learning and the other 21 students were taught the 4 MAT learning cycle. The research instrument were: 1) 30-item learning achievement test with the difficulty ranging between 0.34-0.77, the discrimination value at 0.37-0.81, and the reliability of 0.83, and 2) 10-item 3-point rating scale satisfaction questionnaires towards STAD Cooperative learning and 4 MAT learning cycle with the item discrimination value at 0.36-0.62 and 0.36-0.61, and the reliability(α - coefficient) of 0.84 and 0.79 respectively. The statistics used in analyzing data were mean, standard deviation and t-test (Independent Samples). The results were as follows: 1) The students who studied the STAD Cooperative Learning(x = 26.65, SD = 1.84) had higher learning achievement than those who studied the 4 MAT learning cycle (x=25.24, SD = 1.18) at a significant level of .01, and 2) The students’ satisfaction towards the STAD Cooperative Learning and the 4 MAT learning cycle was at a high level with averages of 2.78 and 2.69, and Standard Deviation of 0.49 and 0.47 respectively.

 

 

 

Article Details

Section
บทความวิจัย (Research article)