แนวทางการปฏิรูปสื่อในมุมมองขององค์กรกำกับดูแลและเฝ้าติดตาม

Main Article Content

ธาตรี ใต้ฟ้าพูล
ยุบล เบ็ญจรงค์กิจ

บทคัดย่อ

การวิจัยเรื่อง “แนวทางการปฏิรูปสื่อในมุมมององค์กรกำกับดูแลและเฝ้าติดตาม” นี้ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1) เพื่อทราบถึงความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกลุ่มองค์กรกำกับดูแลและเฝ้าติดตามสื่อที่มีต่อการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนและสื่อใหม่ในปัจจุบัน 2) เพื่อทราบถึงแนวทางในการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการ และกำกับดูแลสื่อจากมุมมองขององค์กรกำกับดูแลและเฝ้าติดตามสื่อ การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยอาศัยเทคนิคการสัมภาษณ์เจาะลึก สุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจงกลุ่มผู้เชี่ยวชาญในองค์กรกำกับดูแลสื่อทั้งในภาครัฐและองค์กรอิสระ องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคการเมือง กฎหมาย และองค์กรธุรกิจเอกชน จำนวนทั้งสิ้น 41 คน


ผลการวิจัยพบว่า ผู้ให้ข้อมูลหลักส่วนใหญ่เห็นว่าสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการปฏิบัติงานมาก โดยเฉพาะเสรีภาพในการนำเสนอเนื้อหา หากแต่มีข้อจำกัดในด้านโครงสร้างอุตสาหกรรม ซึ่งหน่วยงานของรัฐและกองทัพเป็นเจ้าของสื่อวิทยุโทรทัศน์ รวมทั้งความเป็นเจ้าของสื่อและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ทำให้เสรีภาพสื่อถูกจำกัดในสถานการณ์หนึ่งๆ อย่างไรก็ตาม ผู้ให้ข้อมูลบางท่านเห็นว่า สื่อมวลชนส่วนใหญ่ยอมจำนนต่ออำนาจรัฐและอำนาจทุนขนาดใหญ่และทุนข้ามชาติ โดยขาดความกล้าหาญทางจริยธรรม ไม่วิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบการทำงานของรัฐและกลุ่มทุนขนาดใหญ่


สำหรับกระบวนการขั้นตอนการทำงานด้านการข่าว พบว่า เนื้อหาข่าวสารในสื่อกระแสหลักมีเนื้อหาบันเทิงมากกว่าสาระ และมักเน้นความก้าวร้าวรุนแรง โป๊เปลือยและละเมิดสิทธิส่วนบุคคลจำนวนมาก ทั้งนี้ เพื่อหวังผลเชิงธุรกิจมากกว่าการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน นอกจากนี้การเล่าข่าวทางวิทยุโทรทัศน์ไม่สามารถทดแทนการอ่านข่าวได้ เนื่องจากผู้เล่าข่าวสอดแทรกความคิดเห็นลงไปในข่าวด้วย ซึ่งควรมีรูปแบบอื่นนอกเหนือจากการเล่าข่าว ได้แก่ การรายงานข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน การรายงานข่าวเจาะลึก และการให้ภูมิหลังของเหตุการณ์ ทั้งนี้ต้องเน้นความถูกต้องมากกว่าความรวดเร็ว หากสื่อปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบ ถูกต้อง เป็นกลาง และมีจริยธรรมก็ป้องกันปัญหาที่ผู้บริโภคข่าวสาร ประทับตราสื่อที่นำเสนอข่าวสารไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของผู้บริโภคว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามได้ นอกจากนี้ ผู้ปฏิบัติงานสื่อควรได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยและมีสวัสดิการที่เหมาะสม เนื่องจากผู้ปฏิบัติงานสื่อต้องทำงานด้วยความเสี่ยงสูง อีกทั้งมีผลกระทบต่อสังคมมาก โดยองค์กรสื่อและองค์กรวิชาชีพควรมีบทบาทสำคัญในเรื่องดังกล่าว


ผู้ให้ข้อมูลหลักเห็นตรงกันว่า ควรต้องมีการกำกับดูแลและตรวจสอบการทำงานของสื่อเพื่อเป็นหลักประกันว่าสื่อจะปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบ แม้ว่าการเป็นเจ้าของกิจการข้ามสื่อเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่ต้องระมัดระวังมิให้เกิดการครอบงำสังคม ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การชี้นำความคิดเห็นและการกำหนดวาระทางสังคม ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้ระบุถึงประเด็นดังกล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้วสำหรับการตรวจติดตามสื่อ (Media monitor) นั้น ผู้ให้ข้อมูลหลักเห็นว่ามีความจำเป็น โดยมี 2 แนวทางปฏิบัติ คือ ให้องค์กรอิสระเป็นผู้ดำเนินการ หรือให้หลายภาคส่วนดำเนินการร่วมกัน หรือดำเนินการแยกออกจากกัน และกลไกในการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สามารถทำได้โดยการเพิ่มบทบาทภาคประชาชนในการร่วมตรวจสอบและเฝ้าระวังสื่อ สร้างช่องทางในการร้องเรียนหลากหลายช่องทาง ให้ได้รับความสะดวกและให้การคุ้มครองผู้ร้องเรียนสื่อ


การจัดกลุ่มรายการโทรทัศน์ (Rating) ในปัจจุบันยังไม่เพียงพอ เนื่องจากเป็นการแนะนำผู้ชมรายการโทรทัศน์เท่านั้น ควรทำร่วมกับการจัดสรรช่วงเวลาของรายการโทรทัศน์ และเพิ่มช่องทางในการตอบสนอง โดยสามารถส่งข้อมูลไปยังผู้กำหนดนโยบายและผู้รับผิดชอบที่เกี่ยวข้อง ขณะที่ใบประกอบวิชาชีพสื่อนั้น ผู้ให้ข้อมูลหลักให้การสนับสนุน หากแต่หน่วยงานที่ออกใบอนุญาตควรเป็นองค์กรวิชาชีพสื่อ หรือองค์กรอิสระที่ปราศจากการแทรกแซงจากรัฐ กฎหมายที่ใช้กำกับดูแลสื่อในปัจจุบัน ผู้ให้ข้อมูลหลักส่วนใหญ่เห็นว่ามีเพียงพอแล้ว หากแต่ขาดบังคับใช้อย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นกฎหมายบางฉบับควรได้รับการพิจารณาปรับปรุงให้เหมาะสม เช่น การหมิ่นประมาท การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พรบ.คอมพิวเตอร์บางมาตรา


ข้อเสนอจากการวิจัยมีอย่างน้อย 8 ประการ ประกอบด้วย 1) การปฏิรูปโครงสร้างของอุตสาหกรรมสื่อ โดยการจัดสรรคลื่นความถี่ให้กุล่มต่างๆเข้ามาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ทั้งภาคธุรกิจ ภาคสาธารณะและภาคชุมชน 2) พิจารณากำหนดสัดส่วนการเป็นเจ้าของข้ามสื่อ โดยเฉพาะกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และกลุ่มทุนข้ามชาติ 3) การเร่งดำเนินการสร้างการรู้เท่าทันสื่อให้กับภาคประชาชน ทั้งในรูปแบบการศึกษาในโรงเรียนและนอกห้องเรียน 4) สนับสนุนการตรวจสอบสื่อโดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน โดยสร้างกลไกในการสื่อสารข้อมูลไปยังผู้ปฏิบัติงานองค์กรสื่อ องค์กรวิชาชีพสื่อ ผู้กำหนดนโยบาย และสื่อสารสาธารณะทางสังคม 5) พิจารณาทบทวนข้อกฎหมายที่ขัดขวางเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อ 6) การฟื้นฟูค่านิยมในสังคมไทย โดยปลูกฝังคุณธรราจริยธรรมในทุกระดับ 7) สนับสนุนให้ภาคประชาชนและผู้ประกอบกิจการสื่อ มีทักษะในการผลิตสื่อและบริหารจัดการอย่างสร้างสรรค์ และ 8) พิจารณาการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสื่อ โดยไม่บังคับให้สื่อต้องมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แต่เป็นลักษณะการรับรองคุณสมบัติความเป็นมืออาชีพของสื่อที่ได้รับใบอนุญาต โดยเพิ่มสิทธิพิเศษให้กับสื่อที่สอบผ่านคุณสมบัติ

Article Details

ประเภทบทความ
Articles