สื่อมัลติมีเดียและเทคโนโลยีการศึกษาแบบปฏิสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษทางการได้ยิน

Main Article Content

อนุวัฒน์ จันทสะ
ศุภชัย โชติกิจภิวาทย์
จินตนา กสินันท์

บทคัดย่อ

บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้สื่อมัลติมีเดียและเทคโนโลยีการศึกษาแบบปฏิสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษทางการได้ยิน โดยนำสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ์มาใช้เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ และการดำรงชีวิตในสังคม โดยสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ์ที่ดีต้องออกแบบให้บุคคลทั่วไปเข้ามาเรียนรู้ร่วมกันได้ โดยมีการนำหลักการทฤษฎี และเทคนิควิธีการสอนที่เหมาะสม เช่น กระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน การออกแบบพฤติกรรมในระหว่างจัดการเรียนรู้ และยึดหลักความสามารถของผู้เรียนรายบุคคล ทำให้ผู้เรียนใช้เวลาในการเรียนน้อยลงแต่ได้ความรู้มากยิ่งขึ้น การจัดทำสื่อมัลติมีเดียแบบปฏิสัมพันธ์สำหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษทางการได้ยิน มีหลักการสำคัญที่ผู้ผลิตสื่อจะต้องออกแบบโครงสร้างเนื้อหา องค์ประกอบทางด้านศิลปะ ให้สามารถสื่อความหมายอย่างเหมาะสม ทำให้สื่อที่ผลิตนั้นสะดวกต่อการใช้ ง่ายต่อการเข้าถึง และมีประสิทธิภาพในการเรียนการสอนเป็นอย่างดี ซึ่งการสอนผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษทางการได้ยินสำหรับประเทศไทยปัจจุบัน แบ่งออกเป็นสองระบบใหญ่ ๆ คือ 1) ระบบที่เน้นวิธีการพูดและการฟัง คือ การสอนที่เน้นการพูด และการสอนเน้นการฟัง และ 2) การสอนแบบสองภาษาการใช้ภาษามือไทยเป็นภาษาแม่ และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาที่สอง ทั้งนี้ ผู้สอนเริ่มใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบพิเศษที่เรียกว่า การสอนแบบสองภาษา เพื่อส่งผลให้ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษทางการได้ยินเข้าไปสู่สังคมของผู้ที่มีการได้ยิน และอยู่ร่วมกันได้ภายใต้ความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรมสร้างสรรค์อย่างยั่งยืน

Article Details

รูปแบบการอ้างอิง
จันทสะ อ. ., โชติกิจภิวาทย์ ศ. ., & กสินันท์ จ. (2023). สื่อมัลติมีเดียและเทคโนโลยีการศึกษาแบบปฏิสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษทางการได้ยิน. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 10(10), 222–231. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/271641
ประเภทบทความ
บทความวิชาการ

เอกสารอ้างอิง

เลิศศิริร์ บวรกิตติ. (2557). ศิลปะศูนย์กลางการศึกษาและการบำบัดเด็กพิการ (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์กรุงเทพเวชสาร.

โสภณ ชัยวัฒนกุลวานิช. (2556). การพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาทางเลือกเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ : กรณีศึกษาเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน. ใน วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต สาขาพัฒนศึกษา. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ. (2565). รายงานข้อมูลสถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทย. เรียกใช้เมื่อ 25 กันยายน 2565 จาก https://www.dep.go.th/th/law-academic/knowledge-bas e/disabled-person-situation

ณัฐกร สงคราม. (2557). การออกแบบและพัฒนามัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ทักษิณา สุขพัทธี. (2560). รูปแบบสื่อมัลติมีเดียเพื่อการเรียนรู้ในงานคอมพิวเตอร์กราฟิก สำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน. วารสารวิชาการสมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย, 23(2), 21 - 33.

นรินธน์ นนทมาลย์. (2561). วิดีโอปฏิสัมพันธ์ในการเรียนแบบเปิดในศตวรรษที่ 21. วารสารครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 46(4), 211 - 227.

มลิวัลย์ ธรรมแสง. (2550). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กหูหนวกและระบบวิธีสอน : ฝากไว้ให้คิดถึง (พิมพ์ครั้งที่ 1). ขอนแก่น: ขอนแก่นการพิมพ์.

ศศิวิมล คงสุวรรณ, และเบญจมาภรณ์ ฤาไชย. (2563). การเรียนการสอนสำหรับคนหูหนวกในประเทศไทย : สภาพปัญหา รูปแบบ และ กระบวนการสอนแบบสองภาษา. วารสารมังรายสาร สถาบันภาษาและวัฒนธรรมนานาชาติ หาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, 8(1), 1 - 14.

สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2559). พจนานุกรมภาษามือไทย ฉบับราชบัณฑิตยสภา. เรียกใช้เมื่อ 25 กันยายน 2565 จาก http://164.115.33.116/vocab/index.html.

อรอุมา นาทสีเทา และคณะ. (2558). การสำรวจในการใช้สื่อใหม่เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสาหรับผู้พิการทางการได้ยิน. หนังสือประมวลบทความการประชุมวิชาการด้านคนพิการ (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหิดล.

Allen, S., & Gutwill, J. (2004). Designing with multiple interactives: Five common pitfalls. Curator The Museum Journal, 47(2), 199 - 212.

Bagnara, S., & Smith, G. C. (2006). Theories and practice in interaction design. (2nd ed.). Ivrea : Italy: CRC Press is an imprint of Taylor & Francis Group.

Silver, K. (2018). Adolescence now lasts from 10 to 24, BBC News. Retrieved July 1 , 2020, from https://www.bbc.com/news/health-427324