สภาพปัญหา และแนวทางการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว ในจังหวัดปทุมธานี : กรณีศึกษาช่วงสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคโควิด 19

Main Article Content

เกียรติเฉลิม รักษ์งาม
อารณีย์ วิวัฒนาภรณ์

บทคัดย่อ

บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสาเหตุและสภาพปัญหาความรุนแรงในครอบครัวช่วงมาตรการอยู่บ้านหยุดเชื้อ เพื่อชาติ สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในจังหวัดปทุมธานี และศึกษาแนวทางการป้องกันปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัว โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย ผู้กระทำความรุนแรง 15 คน ผู้ถูกกระทำความรุนแรง 15 คน นักสังคมสงเคราะห์ 2 คน นักจิตวิทยา 2 คน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์ 2 ฉบับ คือ แบบสัมภาษณ์ผู้กระทำและผู้ถูกกระทำความรุนแรง และแบบสัมภาษณ์สำหรับนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผลการวิจัยพบว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด 19 รัฐบาลต้องออกมาตรการให้ทุกคนอยู่บ้านเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และการระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งโดยปกติแล้วพ่อแม่ต้องไปทำงาน เด็กไปโรงเรียนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันเป็นเวลานานติดต่อกันหลายวัน และเมื่อทุกคนต้องกักตัวอยู่ด้วยกันมากกว่า 1 เดือนอาจส่งผลต่อความรุนแรงในครอบครัวได้ ความรุนแรงในครอบครัวช่วงสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด 19 ส่วนใหญ่จะมีสาเหตุมาจากความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัว ความหึงหวง เมาสุรา ลักษณะความรุนแรงเป็นการทะเลาะกันระหว่างสามีภรรยา การทำร้ายร่างกายเด็ก และการทำร้ายผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ด้วย แนวทางการป้องกันปัญหาความรุนแรงในครอบครัว ควรปรับกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความชัดเจน บูรณากระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ เสริมสร้างความรู้ด้านการสอบสวนข้อเท็จจริง คนในชุมชนต้องช่วยกันดูแลคอยแจ้งเหตุ มีการจัดตั้งศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชนสำหรับบริการให้ความช่วยเหลือดูแลปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

Article Details

How to Cite
รักษ์งาม เ. ., & วิวัฒนาภรณ์ อ. . (2022). สภาพปัญหา และแนวทางการป้องกันความรุนแรงในครอบครัว ในจังหวัดปทุมธานี : กรณีศึกษาช่วงสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคโควิด 19. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 9(4), 200–213. สืบค้น จาก https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/260737
บท
บทความวิจัย

References

กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. (2564). สถิติความรุนแรงในครอบครัวปีงบประมาณ 2564 (ต.ค.63-ก.พ.64). กรุงเทพมหานคร: กรมส่งเสริมสถาบันครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว.

กัณฐิกา พลอยทับทิม. (2560). การมีส่วนร่วมของศูนย์พัฒนาครอบครัวในการเฝ้าระวังความรุนแรงในครอบครัวจังหวัดปทุมธานี. วารสาร มจร สังคมศาสตร์ปริทรรศน์, 6(2) (พิเศษ), 37-51.

ขวัญฟ้า รังสิยานนท์. (2552). การพัฒนารูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้แนวพุทธสำหรับเด็กปฐมวัย. ใน ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยา. มหาวิทยาลัยรามคำแหง.

ชิตพล ชัยมะดัน. (2561). รูปแบบการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสังคมของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสระแก้ว. วารสารวิชาการศิลปะศาสตร์ประยุกต์, 5(2), 30-38.

บุญเสริม หุตะแพทย์. (2545). ลักษณะการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว. นนทบุรี: มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช.

รัฐวิชญ์ อริยพัชญ์พล. (2563). การแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว. วารสารสังคมศาสตร์และมานุษยวิทยาเชิงพุทธ, 5(4), 21-335.

วนิดา อินทรอำนวย. (2563). กฎหมายว่าด้วยส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

สำนักข่าวอิศรา. (2564). วิกฤติโควิด ปัจจัยเสี่ยงความรุนแรงในครอบครัว ทำสถิติปี 64 พุ่งกว่า 1.4 พันราย. เรียกใช้เมื่อ 8 กันยายน 2564 จาก https://www.isranews.org/article /isranews-scoop/99838-isranews-v.html

สุพัตรา สุภาพ. (2545). สังคมและวัฒนธรรม. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

อาภรณ์ เสียงแหลม. (2555). การสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปัญหาความรุนแรงในครอบครัวต่อสตรีในสังคมไทย. วารสารการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต, 25(3), 38-55.

อารีวรรณ จตุทอง. (2563). ปัญหาความรุนแรงครอบครัวภัยเงียบในวิกฤตโรคโควิด-19. กรุงเทพมหานคร: สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ.

อุษณี กังวารจิตต์. (2563). หวั่นช่วงหยุดอยู่บ้านต้านโควิด สถิติความรุนแรงในครอบครัวไทยอาจพุ่ง. ประชาชาติธุรกิจ. เรียกใช้เมื่อ 5 เมษายน 2563 จาก https://www. prachachat.net/general/news-444654

Broom, L., & P. Selznick. (1969). Sociology. New York: Harper & Row.

UN Women. (2020). COVID-19 and ending violence against women and girls. New York: UN Women.