การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาการบัญชีจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในรายวิชารายงานทางการเงินและการวิเคราะห์งบการเงิน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาการบัญชีจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในรายวิชารายงานทางการเงินและการวิเคราะห์งบการเงิน

Main Article Content

นางอรทัยภ์ ทำมา
อรอนงค์ จิระกุล
อารยา เจริญพร
สมาน สืบนุช

บทคัดย่อ

การจัดทำวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาการบัญชีจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในรายวิชารายงานทางการเงินและการวิเคราะห์งบการเงิน มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน จากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในรายวิชารายงานทางการเงินและการวิเคราะห์งบการเงิน 2) ศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการสอนโดยใช้แนวคิดปัญหาเป็นฐานในรายวิชารายงานทางการเงินและการวิเคราะห์งบการเงิน 3) พัฒนาบทเรียนของเอกสารประกอบการสอนรายวิชารายงานทางการเงินและการวิเคราะห์งบการเงินที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพโดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงคือนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง สาขาการบัญชีชั้นปีที่ 2 ที่ลงเรียนในรายวิชารายงานทางการเงินและการวิเคราะห์งบการเงิน วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุพรรณบุรีภาคการศึกษาที่ 2/2565 จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินความพึงพอใจที่มีดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.73-0.90 และแบบประเมินคุณภาพของเอกสารประกอบการสอนซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.70-0.95 ค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.32-0.84 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.20-0.70 และค่าความเชื่อมั่นโดยมีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาเท่ากับ 0.85 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบ (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังเรียนด้วยเอกสารประกอบการสอนรายวิชารายงานทางการเงินและการวิเคราะห์งบการเงิน โดยการเรียนแบบใช้ปัญหาเป็นฐานสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2) นักศึกษามีความพึงพอใจในการจัดสอนด้วยวิธีการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานในภาพรวมมากที่สุด (x̄ = 4.60, S.D. = 0.67) และ 3) การพัฒนาเอกสารประกอบการสอนจากการวัดค่าคุณภาพของบทเรียนโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก (x̄ = 4.48, S.D. = 0.32) และค่าประสิทธิภาพ E1/E2 = 83.67/82.54 ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ทั้งนี้ ผลการวิจัยสามารถนำไปเป็นต้นแบบของแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการเรียนการสอนเพื่อตอบยุทธศาสตร์แผนการศึกษาแห่งชาติ และตอบโจทย์การสอนในศตวรรษที่ 21

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กาญจนา บุญภักดิ์ และภาไพกาญจน์ อินทร์น้อย. (2557). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาสาขาการบัญชีจากการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน

ในรายวิชาการบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์. Journal of Industrial Business Administration, 3 (2), 21-29.

กาญจนา บุญภักดิ์ และ ภาไพกาญจน์ อินทร์น้อย. (2557). เทคนิคการเขียนตำราสำหรับนักเขียนหน้าใหม่. วารสารครุศาสตร์อุตสาหกรรม, 13 (3), 194-199.

Arslan, O., Inan, F., A., and Cheon, J. (2020). “Design and Development of a Web-Based Instruction for Professional Development in

Higher Education.”Proceedings of Society for Information Technology & Teacher Education International Conference,

Waynesville, NC, USA.

Barrow,H. S. (2000). Problem-based learning applied to Medical Education. Revised edition. Illinois: School of Medicine, Southern Illinois

University.

Black, P., and Wiliam, D. (1998). Assessment and classroom learning. Assessment in Education: principles, policy & practice, 5 (1), 7-74.

Bloom, B. S. (1984). The 2 sigma problem: The search for methods of group instruction as effective As one-to-one tutoring. Educational

researcher, 13 (6), 4-16.

Likert, R. (1970). A Technique for the Measurement of Attitude In G.F.Summer (Ed). Attitudes measurement. New York : Rand McNally.

Muangseengarm, O., Tuntiwongwanich, S., and Kiddee, K. (2020). “Development of analytical thinking By problem-base learning with

e-learning on two-dimensional array for vocational certificate students” Journal of Industrial Education, 19 (3), 11-20. (in Thai).

Preededilok, K. (1986). Organizational management theory. Bangkok: ThanaPrinting. [in Thai].