ผลการใช้โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิก จักรยาน และลู่วิ่งไฟฟ้าที่มีต่อองค์ประกอบของร่างกายในกลุ่มบุคคลที่มีภาวะน้ำหนักเกิน

Main Article Content

ฉัตรตระกูล ปานุทัย
พวงแก้ว วิวัฒน์เจษฏาวุฒิ
อธิวัฒน์ ดอกไม้ขาว
พัชรี ทองคำพานิช
จุไรรัตน์ อุดมวิโรจน์สิน
สุรเชษฐ ขวัญใน
อรทัย แย้มโอษฐ์
ธรรมรัฐ อากาศวิภาต
ทัตพิชา พงษ์ศิริ

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาและหาค่าความแตกต่างของผลการใช้โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิก จักรยาน และลู่วิ่งไฟฟ้า ที่มีต่อองค์ประกอบของร่างกายในกลุ่มบุคคลที่มีภาวะน้ำหนักเกิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า เป็นบุคลากรและนักศึกษาของสถาบันการพลศึกษา วิทยาเขตสุพรรณบุรี โดยการคัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกเฉพาะผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินด้วยการหาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) จำนวน 30 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่มๆ ละ 10 คน โดยกลุ่มที่ 1 ออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิก กลุ่มที่ 2 ออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยาน และกลุ่มที่ 3 ออกกำลังกายด้วยการวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า


              ผลการวิจัยพบว่า


  1. ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของดัชนีมวลกาย และเปอร์เซ็นต์ไขมันก่อนการออกกำลังกายภายหลังสัปดาห์ที่ 6 และภายหลังสัปดาห์ที่ 12 โดยกลุ่มที่ 1 มีค่าเฉลี่ยของดัชนีมวลกาย และเปอร์เซ็นต์ไขมัน ก่อนการออกกำลังกาย เท่ากับ 31.86±5.38 และ 33.72±6.78  ภายหลังสัปดาห์ที่ 6 เท่ากับ 31.20±5.17 และ 32.44±6.65 และภายหลังสัปดาห์ที่ 12 เท่ากับ 30.31±4.63 และ 30.99±6.38 ตามลำดับ กลุ่มที่ 2 มีค่าเฉลี่ยของดัชนีมวลกายและเปอร์เซ็นต์ไขมันก่อนการออกกำลังกาย เท่ากับ 31.43±2.87 และ 30.14±6.14 ภายหลังสัปดาห์ที่ 6 เท่ากับ 30.81±2.74 และ  28.39±6.12 และภายหลังสัปดาห์ที่ 12 เท่ากับ 30.31±2.78 และ 26.45±6.20 ตามลำดับ และกลุ่มที่ 3 มีค่าเฉลี่ยของดัชนีมวลกายและเปอร์เซ็นต์ไขมันก่อนการออกกำลังกาย เท่ากับ 31.73±3.32 และ 34.79±4.06 ภายหลังสัปดาห์ที่ 6 เท่ากับ 30.81±3.17 และ 34.01±4.13 และภายหลังสัปดาห์ที่ 12 เท่ากับ 30.23±3.30 และ 33.30±4.12 ตามลำดับ

  2. ความแตกต่างของผลการใช้โปรแกรมการออกกำลังกายด้วยการเต้นแอโรบิก จักรยาน และลู่วิ่งไฟฟ้า ที่มีต่อองค์ประกอบของร่างกายทั้งสามกลุ่ม โดยผลของการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวแบบวัดซ้ำ และการทดสอบด้วยวิธีของ Tukey พบว่า ค่าเฉลี่ยของดัชนีมวลกาย และเปอร์เซ็นต์ไขมันก่อนการออกกำลังกาย ภายหลังการออกกำลังกายสัปดาห์ที่ 6 และภายหลังการออกกำลังกายสัปดาห์ที่ 12 ของทั้งสามกลุ่ม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

Article Details

ประเภทบทความ
บทความวิจัย

เอกสารอ้างอิง

กระทรวงสาธารณสุข. (2552). รายงานความสำเร็จของเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ. ฉบับที่ 2. กรุงเทพฯ: สามเจริญพาณิชย์.

ธีระศักดิ์ อาภาวัฒนาสกุล. (2552). หลักวิทยาศาสตร์ในการฝึกกีฬา. กรุงเทพฯ: ส.เอเชียเพรส

มานิตย์ วัขร์ชัยนันท์. (2555). Exercise 2: ประโยชน์ที่พึงได้จากการออกกำลังกาย. ค้นเมื่อ เมษายน 22, 2561,จาก https://vatchainan2.Blogspot.com/2012/04/ Exercise-2.html

วิชัย เอกพลากร. (2554). คนไทยผจญภัยอ้วน. สำนักสำรวจสุขภาพประชาชนไทย. 1(1), 1–20.

สนธยา สีละมาด. (2551). หลักการฝึกกีฬาสาหรับผู้ฝึกสอนกีฬา (พิมพ์ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

America College of Sports Medicine. (2006). ACSM guidelines for exercise testing and prescription (7th ed.). Lippincott: American College of Sports Medicine.

Heydari, M., Freund, J., Boutcher, S. H. (2012). The effect of high-intensity intermittent exercise on body compostion of overweight young males. Journal of Obesity.Article ID 480467, 1-8.

Mokdad, A. H., Ford, E. S., Bowman, B. A., Dietz, W. H., Vinicor, F., Bales, V. S., & Marks, J. S.(2003). Prevalence of Obesity, Diabetes, and Obesity-Related Health Risk Factors, 2001. JAMA, 289(1).doi:10.1001/jama.289.1.7

Perry, C. G., Heigenhauser, G. J., Bonen, A., & Spriet, L. L. (2008). High-intensity aerobic interval training increases fat and carbohydrate metabolic capacities in human skeletal muscle. Applied Physiology, Nutrition and Metabolism, 33(6), 1112-1123.

Tjonna, A. E.; Stolen, T. O.; Bye, A.; Volden, M.; Slordahl, S. A.; Odegadrd, R.; Skogvoll, E.; & Wisloff, U. (2009). Aerobic interval training reduces cardiovascular risk factors more than a multitreatment approach in overweight adolescents. Clinical Science, 116(4), 317 – 326.

WHO ExpertConsultation. (2004). Appropriate body-mass index for Asian populations

and Its implications for policy and intervention strategies. Lancet, 363 (9403), 157 – 163.