แนวทางการส่งเสริมการจัดการกีฬาของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ตามหลักพละ 4
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการกีฬาของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นที่มีต่อการจัดการกีฬาของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการส่งเสริมการจัดการกีฬา ของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ตามหลักพละ 4 การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยแบบผสมวิธี 1) การวิจัยเชิงปริมาณทำการเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่เป็นครูและผู้บริหาร จำนวน 181 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม การทดสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถามได้เท่ากับ .961 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่า t-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One Way ANOVA) เมื่อพบความแตกต่างจะทำการเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ โดยใช้วิธีผลต่างนัยสำคัญน้อยที่สุด (LSD) 2) การวิจัยเชิงคุณภาพทำการเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 9 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง ทำการวิเคราะห์วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดการกีฬาของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ทุกด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยด้านสถานที่ออกกำลังกาย สนามกีฬา และสวนสุขภาพ มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด อยู่ในระดับมาก รองลงมาได้แก่ ด้านอุปกรณ์กีฬา อาคารและสถานที่ ด้านการบริหารจัดการ ด้านบุคลากร ตามลำดับ ส่วนด้านการจัดกิจกรรม มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด อยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบสภาพการส่งเสริมการจัดการกีฬาของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่มีเพศ อายุ และประสบการณ์การทำงานที่ต่างกันมีความคิดเห็นต่อสภาพการจัดการกีฬาของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธสมมติฐานที่ตั้งไว้ 3) แนวทางการส่งเสริมการจัดการกีฬาของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลนครนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ตามหลักพละ 4 ประกอบด้วย 5 ด้าน คือ (1) ด้านสถานที่ออกกำลังกาย ผู้บริหารควรกำหนดประเภทและชนิดของกีฬาให้เหมาะสมกับสถานที่ มีอากาศที่โปร่งสบาย สะอาด มีความปลอดภัย (ปัญญาพละ) (2) ด้านอุปกรณ์กีฬา อาคารและสถานที่ ผู้บริหารควรมีการจัดตั้งเวรผู้ดูแลรับผิดชอบ โดยมีการจัดเวรให้มีการผลัดเปลี่ยนประจำวัน (อนวัชชพละ) ผู้บริหารควรเปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการดูแลอุปกรณ์กีฬา อาคารและสถานที่ (ปัญญาพละ) (3) ด้านบุคลากร ผู้บริหารควรจัดตั้งคณะกรรมการส่งเสริมกีฬาและการออกกำลังกายโดยการเปิดโอกาสให้ผู้ปกครอง และเครือข่ายภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นคณะกรรมการ (ปัญญาพละและอนวัชชพละ) (4) ด้านการบริหารจัดการ ผู้บริหารควรสนับสนุนการฝึกซ้อมโดยมุ่งเน้นการพัฒนาทั้งด้านทักษะ และด้านสมรรถภาพทางร่างกายด้วยเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์การกีฬา (ปัญญาพละและวิริยพละ) (5) ด้านการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมโครงการ/กิจกรรมส่งเสริมกีฬาในแผนปฏิบัติการ ผู้บริหารควรสนับสนุนให้มีการจัดโครงการ/กิจกรรมการฝึกซ้อมระยะสั้นและระยะยาว ผู้บริหารควรจัดประชุมวางแผนการเข้าร่วมแข่งขันและการฝึกซ้อมอย่างเป็นระบบ ผู้บริหารควรส่งเสริมให้มีการรายงานผลการดำเนินโครงการเพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาการจัดการกีฬา (วิริยพละ)
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ในวารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น รวมทั้งผู้เขียนจะต้องคำนึงถึงจริยธรรมการวิจัย ไม่ละเมิดหรือคัดลอกผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง ซึ่งทางวารสารฯ ได้กำหนดความซ้ำของผลงาน ด้วยโปรแกรม CopyCat เว็บ Thaijo ในระดับ ไม่เกิน 25%
ในกรณีที่ บทความวิจัยมีกระบวนการวิจัยเกี่ยวข้องกับมนุษย์ ผู้นิพนธ์จะต้องส่งหลักฐานการรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์มาประกอบการลงตีพิมพ์ด้วยจึงจะได้รับการพิจารณาลงตีพิมพ์ในวารสาร
ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ รวมทั้งระบบการอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ โดยรวมทั้งทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความนั้น และไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการวารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์และวารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์
เอกสารอ้างอิง
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. (2561). แผนพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น (พ.ศ. 2561-2565). กรุงเทพมหานคร: กองส่งเสริมและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น.
กระทรวงมหาดไทย. (2563). แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดตั้ง รวม หรือเลิกสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน การขยายชั้นเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และการเรียกชื่อสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. กรุงเทพมหานคร: กระทรวงมหาดไทย.
บงกช จันทร์สุขวงศ์. (2562). รูปแบบการจัดการกีฬาเพื่อความเป็นเลิศในโรงเรียนกีฬา สังกัดมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. ดุษฎีนิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต. มหาวิทยาลัยนเรศวร.
เบญจวรรณ พงศ์สุวรรณ และคณะ. (2560). ความคิดเห็นของผู้ปกครองที่มีต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียนกีฬาองค์การบริหารส่วนจังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด, 6(2), 5.
พระราชบัญญติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 4). (2562). ราชกิจจานุเบกษา หน้า 49 เล่ม 136 ตอนที่ 57 ก. 1พฤษภาคม 2562.
พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ. 2562. (2562). ราชกิจจานุเบกษา หน้า 1 เล่ม 136 ตอนที่ 67 ก. 22 พฤษภาคม 2562.
ไพโรจน์ สว่างไพรและคณะ. (2565). การจัดการกีฬาแบบมีส่วนร่วมในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยใช้หลักประชารัฐ. วารสารสุขศึกษา พลศึกษา และสันทนาการ, 48(1), 6.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2539). พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
วัณณุวรรธน์ ศรีไสว. (2565). แนวทางการบริหารการศึกษาตามหลักพละ 4 ของสถานศึกษาสังกัดสำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ในจังหวัดขอนแก่น. Journal of Modern Learning Development, 7(6), 136-145.
สมศักดิ์ บุญปู่. (2557). พลธรรม : พลังอำนำจเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษายุคใหม่. วารสารครุศาสตร์ปริทรรศน์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 1(2), 1–12.
สำนักการศึกษาเทศบาลนครนครสวรรค์. (2565). รายงานการจัดการศึกษา. นครสวรรค์, เทศบาลนครนครสวรรค์.
สำนักมาตรฐานการบริหารงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. (2562). มาตรฐานการส่งเสริมกีฬา.กรุงเทพมหานคร: กรมส่งเสริมการปกครองส่งนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย.
อวยชัย รางชัยกุล. (2565). การประยุกต์ใช้พละ 4 เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะการปฏิบัติงานของบุคลากร สำนักงานเกษตรจังหวัดชลบุรี. วารสารสหวิทยาการนวัตกรรมปริทรรศน์, 5(1), 246–254.
Cronbach, Lee J. (1971). Essentials of psychological testing. 4 th ed. New York: Harper & Row.
Krejcie, R. V. and Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research Activities. Educational and Psychological Measurement, 30(3), 607-610.
Likert, Rensis. (1967). The Method of Constructing and Attitude Scale in Reading in Attitude Theory and Measurement. New York: Wiley & Son.