https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/issue/feed วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ 2025-03-30T20:11:21+07:00 พระครูปลัดสุรวุฒิ สิริวฑฺฒโก (อุกฤษโชค), ดร. ukitchock@gmail.com Open Journal Systems <p><strong>วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ </strong></p> <p><strong>(Journal of Bovorn Multi-Education and Human Social Sciences : JOB_EHS )</strong></p> <div id="content"> <div id="journalDescription"> <p class="a" align="left"><strong><span lang="TH"><span style="vertical-align: inherit;">จัดทำดัชนีใน </span><a title="ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย: ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงไทย (TCI)" href="https://www.kmutt.ac.th/jif/public_html/" target="_blank" rel="noopener"><img title="tci" src="https://www.tci-thaijo.org/public/site/images/tci_admin/tci.png" alt="tci" width="90" height="35" border="0" /></a></span></strong></p> </div> </div> <p><strong>วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์</strong></p> <p><strong>(Journal of Bovorn Multi-Education and Human Social Sciences : JOB_EHS )</strong></p> <p><strong>ISSN 2730-3233 (Online)</strong></p> <p><strong>นโยบายและขอบเขตการตีพิมพ์ : </strong></p> <p>มีนโยบายรับตีพิมพ์บทความในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสตร์ ครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ศิลปศาสตร์ สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ และสาขาวิชาสหวิทยาการอื่นๆ</p> <p>บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์ หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้เขียนบทความจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเสนอบทความในวารสารอย่างเคร่งครัด โดยอ้างอิงตามรูปแบบของ APA (นาม-ปี) รวมถึงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวารสารฯ และเป็นบทความที่ไม่มีความหลายมากกว่า 25% ตามที่ถนนในโปรแกรม CopyCat ในเว็บ Thaijo2</p> <p>ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความในวารสารฯ ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนบทความ โดยไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของวารสารฯ</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ : </strong></p> <p>บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ 2 แบบ คือ</p> <p>แบบที่ 1 บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่าน ต่อ 1 บทความ แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</p> <p>แบบที่ 2 บทความที่ได้รับการตีพิมพ์ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน ต่อ 1 บทความ แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review)</p> <p><strong>ประเภทของบทความ : </strong></p> <p>วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ เปิดรับตีพิมพ์ประเภทของบทความ คือ บทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Original Article)</p> <p><strong>ภาษาที่รับตีพิมพ์ :</strong></p> <p>วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ เปิดรับบทความที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>กำหนดออก : </strong></p> <p>วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ มีกำหนดออกตีพิมพ์ 4 ฉบับ ต่อปี (ราย 3 เดือน) ดังนี้</p> <p>ฉบับที่ 1 เดือน มกราคม - มีนาคม (กำหนดออก เดือนมีนาคม)</p> <p>ฉบับที่ 2 เดือน เมษายน - มิถุนายน (กำหนดออก เดือนมิถุนายน)</p> <p>ฉบับที่ 3 เดือน กรกฎาคม - กันยายน (กำหนดออก เดือนกันยายน)</p> <p>ฉบับที่ 4 เดือน ตุลาคม - ธันวาคม (กำหนดออก เดือนธันวาคม)</p> <p><strong><span style="vertical-align: inherit;">การตีพิมพ์บทความ</span></strong></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">ผู้แต่งบทความจะตรวจสอบความสมบูรณ์ของบทความตามข้อแนะนำสำหรับผู้แต่งใน กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบของวารสารฯ กองบรรณาธิการวารสาร ขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์และไม่คืนเงิน ในกรณีเทียบเคียง ดังนี้</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">1. บทความของท่านมีความหลายมากกว่า 25% ตามที่ถนนในโปรแกรม CopyCat ในเว็บ Thaijo2</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">2. ผู้แต่งไม่ปฏิบัติตามรูปแบบที่วารสารกำหนด</span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">3. บทความไม่ผ่านการอ่านประเมินของผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) </span></p> <p><span style="vertical-align: inherit;">4. ผู้แต่งไม่แก้ไขบทความตามข้อเสนอที่กองบรรณาธิการได้แจ้งในระบบตามระยะเวลาที่กำหนด</span></p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286817 รูปแบบการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร 2025-03-25T09:53:34+07:00 พระครูอุดมจารุวรรณ (คำไล้ จารุวํโส) somsak.boon@mcu.ac.th สมศักดิ์ บุญปู่ somsak.boon@mcu.ac.th พระมหาบัณฑิต ปณฺฑิตเมธี somsak.boon@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอรูปแบบการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม แจกให้กับครูในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 390 ชุด, แบบสัมภาษณ์ โดยสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ เจ้าสำนักเรียน ผู้บริหาร นักการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 22 รูป/คน และแนวคำถามสำหรับการสนทนากลุ่ม โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 11 รูป/คน และการทดลองใช้รูปแบบ รวมถึง การประเมินรูปแบบ โดยมีผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จากโรงเรียนจำนวน 1 แห่ง คือ โรงเรียนวัดบำเพ็ญเหนือ เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร จำนวน 40 คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ธรรมศึกษาตามหลักอิทธิบาท 4 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) จุดมุ่งหมาย 3) วิธีการดำเนินการ 4) ตัวแบบการดำเนินการ 5) การประเมินผล 6) เงื่อนไขความสำเร็จ ผลการทดลองใช้รูปแบบมีความคิดเห็นต่อการทดลองรูปแบบ ก่อนและหลังการทดลอง โดยภาพรวมและรายด้านมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น และผลการประเมินรูปแบบทั้ง 4 ด้าน ประกอบด้วยความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความเป็นประโยชน์ และความถูกต้อง โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด สรุปองค์ความรู้จาการวิจัย คือ PIS Model</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/287060 กระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้การจัดการขยะเชิงพุทธบูรณาการ สำหรับวัดในจังหวัดปทุมธานี 2025-03-25T12:04:14+07:00 พระมหาเศรษฐวิชญ์ เสฏฺฐวิชฺโช (ถิระศรุตานันท์) Sethavich.kit@gmail.com พระครูภาวนาวุฒิบัณฑิต Sethavich.kit@gmail.com พระครูสังฆรักษ์จักรกฤษณ์ ภูริปญฺโญ Sethavich.kit@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้การจัดการขยะเชิงพุทธบูรณาการสำหรับวัดในจังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดำเนินการวิจัย 4 ระยะ คือ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นความต้องการจำเป็นกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้การจัดการขยะ โดยสอบถามกลุ่มตัวอย่างพระภิกษุสามเณร 313 รูป 2) พัฒนากระบวนการ โดยสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 9 รูป/คน วิเคราะห์เนื้อหา ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา โดยผู้เชี่ยวชาญ 5 รูป/คน 3) ทดลองใช้กระบวนการ โดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการพระภิกษุ 30 รูป และ 4) ประเมินกระบวนการ โดยการประชุมสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 รูป/คน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนากระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้การจัดการขยะเชิงพุทธบูรณาการสำหรับวัดในจังหวัดปทุมธานี มี 4 องค์ประกอบ คือ 1) หลักการ มุ่งเน้นการสร้างจิตสำนึก ส่งเสริมการเรียนรู้การจัดการขยะด้วยสื่อการสอนผสมผสานทั้งภาพ วีดีโอ และเพลง บูรณาการหลักไตรสิกขาตามกระบวนการ เพื่อถ่ายทอดความรู้การจัดการขยะ 2) วัตถุประสงค์ (1) เพื่อเป็นแนวทางการส่งเสริมการเรียนรู้การจัดการขยะอย่างเป็นระบบ (2) เพื่อเป็นแนวทางให้วัดหรือชุมชนอื่นนำไปใช้ตามบริบทของสถานที่นั้น 3) การพัฒนาที่บูรณาการหลักไตรสิกขา 4) การประเมิน โดยการทดลองใช้กระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้การจัดการขยะเชิงพุทธบูรณาการสำหรับวัดในจังหวัดปทุมธานี พบว่า โดยรวมผู้ร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการพึงพอใจระดับมากที่สุด และผลการประเมินกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้การจัดการขยะเชิงพุทธบูรณาการสำหรับวัดในจังหวัดปทุมธานี พบว่า โดยรวมอยู่ระดับมากที่สุด สรุปองค์ความรู้การวิจัยเป็น “PST”</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286569 แนวทางการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของกลุ่มโรงเรียนนวพัฒน์ จังหวัดระยอง 2025-03-26T18:18:42+07:00 พระยศพันธ์ ฐิตาโก (อาจสิงห์) surachaihongtrakool@gmail.com พระสุรชัย สุรชโย surachaihongtrakool@gmail.com บุญเชิด ชำนิศาสตร์ surachaihongtrakool@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัล 2) เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของกลุ่มโรงเรียนนวพัฒน์ จังหวัดระยอง เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามประชากในการวิจัยทั้งหมดที่เป็นผู้บริหารและครูกลุ่มโรงเรียนนวพัฒน์ จังหวัดระยอง จำนวน 92 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 11 รูป/คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัล มีค่าดัชนี PNImodified คือ 0.519 ด้านที่มีความต้องการจำเป็นอันดับที่ 1 คือ ด้านการวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง รองลงมา คือ ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ด้านการออกจากราชการ ด้านวินัยและการรักษาวินัย และด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ 2) วิธีการพัฒนาการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 เป็นแนวทางการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัล ประกอบด้วยการกำหนดเกณฑ์อัตรากำลังในสถานศึกษา ควรพิจารณาปัจจัยหลายด้านเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายของสถานศึกษา การกำหนดเกณฑ์ดังกล่าวสามารถอ้างอิงแนวทางตามเกณฑ์การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง การวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่งตามหลักสัปปุริสธรรม 7 เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของการศึกษาในยุคใหม่ และ 3) แนวทางการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ดังนี้ (1) ความรู้ในหลักการและเหตุผล (ธัมมัญญุตา) ใช้ข้อมูลจากระบบสารสนเทศ (HRIS) เพื่อวิเคราะห์และวางแผนการบริหารงานบุคคล กำหนดนโยบายโดยใช้ข้อมูลและเหตุผลสนับสนุน(2) ความรู้ในเป้าหมาย (อัตถัญญุตา) กำหนดเป้าหมายการพัฒนาบุคลากรในยุคดิจิทัล เช่น การยกระดับทักษะเทคโนโลยี พัฒนาสมรรถนะบุคลากรให้พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (3) ความรู้ในตนเอง (อัตตัญญุตา) ใช้เครื่องมือดิจิทัลในการประเมินตนเองและบุคลากร ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาตนเองผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (4) ความรู้ในความพอดี (มัตตัญญุตา) จัดสรรทรัพยากรบุคคลอย่างเหมาะสมโดยใช้ข้อมูลจากระบบ HRIS รักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวโดยใช้เครื่องมือดิจิทัล (5) ความรู้ในกาลเวลา (กาลัญญุตา) วางแผนพัฒนาบุคลากรระยะยาวด้านทักษะดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและตรงต่อเวลา (6) ความรู้ในชุมชน (ปริสัญญุตา) ส่งเสริมการมีส่วนร่วมผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อรับฟังความคิดเห็น พัฒนาเครือข่ายบุคลากรโดยใช้เครื่องมือสื่อสารออนไลน์ และ (7) ความรู้ในบุคคล (ปุคคลัญญุตา) คัดเลือกบุคลากรผ่านระบบดิจิทัล สร้างแรงจูงใจด้วยเทคโนโลยีและการประเมินผลที่โปร่งใส</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286325 รูปแบบการบริหารสถานศึกษาตามหลักสุนทรียการศึกษา สำหรับโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา 2025-03-24T02:59:35+07:00 กรัณฑรัตน์ จำเนียรพันธุ์ karantarat.ch@hotmail.com พระมหาญาณวัฒน์ ฐิตวฑฺฒโน karantarat.ch@hotmail.com เผด็จ จงสกุลศิริ karantarat.ch@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอรูปแบบการบริหารสถานศึกษาตามหลักสุนทรียการศึกษา สำหรับโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี มี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาความต้องการจำเป็นการบริหารสถานศึกษา โดยใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหารและครู จำนวน 354 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า PNI<sub>modified</sub> ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบ โดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 16 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ขั้นที่ตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบฯ โดยการประชุมกลุ่มย่อยผู้บริหาร ครู และหัวหน้างานบริหาร 18 คน เครื่องมือที่ใช้คือคู่มือการใช้รูปแบบ และแบบประเมินความคิดเห็นที่มีต่อรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และขั้นตอนที่ 4 ประเมินรูปแบบ โดยการประชุมสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติคือ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบริหารสถานศึกษาตามหลักสุนทรียการศึกษา สำหรับโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย 1) หลักการ <br />2) วัตถุประสงค์ 3) การบูรณาการการบริหารสถานศึกษากับหลักสุนทรียการศึกษา 3 ด้าน คือ ความพึงพอใจ จริยธรรม จิตอาสา 4) การนำไปใช้ 5) การทดลองใช้ 6) การประเมิน มีผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารสถานศึกษาตามหลักสุนทรียการศึกษา มีความคิดเห็นต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด และมีผลการประเมินรูปแบบการบริหารสถานศึกษาตามหลักสุนทรียการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด สรุปองค์ความรู้เป็น “BESE”</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286062 รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลตามหลักปฏิสัมภิทา 4 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท 2025-03-24T02:35:27+07:00 ไชยโพธิ์ ร่มโพธิ์ chaifarm19@hotmail.com พระครูภาวนาวุฒิบัณฑิต chaifarm19@gmail.com พระมหาญาณวัฒน์ ฐิตวฑฺฒโน chaifarm19@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลตามหลักปฏิสัมภิทา 4 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท 3 การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี มี 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาความต้องการจำเป็นการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัล โดยใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารและครู จำนวน 302 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า PNI<sub>modified</sub> ขั้นตอนที่ 2 พัฒนารูปแบบฯ โดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ 19 รูป/คน ด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 5 รูป/คน ขั้นที่ตอนที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบ โดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการผู้บริหารสถานศึกษา 43 คน เครื่องมือที่ใช้คือคู่มือการใช้รูปแบบ และแบบประเมินความคิดเห็นที่มีต่อรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และขั้นตอนที่ 4 ประเมินรูปแบบ โดยการประชุมสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบประเมินรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการพัฒนาภาวะผู้นำดิจิทัลตามหลักปฏิสัมภิทา 4 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุทัยธานี ชัยนาท ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กลไกการพัฒนา บูรณาการหลักปฏิสัมภิทา 4 4) การประเมิน มีผลการทดลองใช้รูปแบบ โดยรวมผู้เข้าร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการมีความคิดเห็นต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด มีผลการประเมินรูปแบบ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และสรุปองค์ความรู้เป็น “DDP”</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286516 กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำสตรีของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักพุทธธรรม ในยุคโลกโกลาหลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 2025-03-26T18:23:13+07:00 รุจิรัตน์ ธนดลชยากร jean.rujirat@gmail.com สิน งามประโคน jean.rujirat@gmail.com ระวิง เรืองสังข์ jean.rujirat@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำสตรีของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักพุทธธรรมในยุคโลกโกลาหลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี โดยมีระเบียบวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการศึกษาเอกสาร และนำมาสร้างแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง เพื่อนำไปสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน พัฒนากลยุทธ์โดยการสนทนากลุ่ม มีผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 9 รูป/คน การทดลองใช้กลยุทธ์กับสถานศึกษาในจังหวัดปทุมธานีจำนวน 1 แห่ง และระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มที่ 1 ศึกษาสภาพภาวะผู้นำสตรีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคโลกโกลาหลของสถานศึกษา คือ ผู้บริหารและครูจำนวน 379 คน กลุ่มที่ 2 ประเมินกลยุทธ์คือผู้บริหารและครู จำนวน 377 คน การแจกแบบสอบถามตามมาตรฐานการประเมิน 4 ด้าน คือ ความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้อง มีสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีค่าความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำสตรีของผู้บริหารสถานศึกษาตามหลักพุทธธรรมในยุคโลกโกลาหลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ประกอบด้วย 1) วิสัยทัศน์ <br />2) พันธกิจ 3) เป้าประสงค์ 4) กลยุทธ์ย่อย 5 กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ส่งเสริมสร้างความเปลี่ยนแปลง กลยุทธ์สร้างแรงบันดาลใจในการจัดการศึกษา กลยุทธ์ส่งเสริมการมีส่วนร่วม กลยุทธ์ส่งเสริมการเคารพต่อผู้อื่น <br />กลยุทธ์เพิ่มศักยภาพการสร้างสรรค์นวัตกรรม พร้อมด้วยแนวทางการขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่การปฏิบัติด้วยหลักสาราณียธรรม 6 โดยมีผลการทดลองใช้กลยุทธ์ พบว่า การประเมินการทดลองใช้มีค่าสูงกว่าก่อนการประเมินการทดลองใช้ และผลการประเมินกลยุทธ์ พบว่า ในภาพรวมมีด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดในระดับมากที่สุด คือ ด้านความเป็นประโยชน์ โดยเรียงลำดับจากด้านมากไปหาน้อย คือ ด้านความถูกต้องอยู่ในระดับมากที่สุด ด้านความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด และด้านความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286964 ความรับผิดทางอาญาและพระธรรมวินัยของพระภิกษุ: ศึกษากรณี พระภิกษุกระทำผิดฐานยักยอก 2025-03-25T21:32:43+07:00 ไพศาล นาสุริวงศ์ pp.sran2525@gmail.com วรพจน์ ถนอมกุล pp.sran2525@gmail.com ประเสริฐ ลิ่มประเสริฐ pp.sran2525@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับคุณธรรมทางกฎหมายของความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทยและพระธรรมวินัย 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบโครงสร้างและองค์ประกอบของความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาต่างประเทศ ประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทยและพระธรรมวินัย 3) เพื่อวิเคราะห์ความคล้ายคลึงและความแตกต่างกันของความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาต่างประเทศ ประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทยและพระธรรมวินัย และ 4) เพื่อให้ได้ข้อสรุปและข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดของพระภิกษุที่ประพฤติผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัย การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาจากเอกสาร หนังสือตำราวิชาการ กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายของต่างประเทศ กฎหมายไทย และพระสูตรต่างๆ ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา การตีความหมาย และการสังเคราะห์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณธรรมทางกฎหมายของความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทยและพระธรรมวินัย มีลักษณะเหมือนกันคือมุ่งคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์เหมือนกัน ในขณะเดียวกัน ในทางพระธรรมวินัยมุ่งคุ้มครองพรหมจรรย์ของพระภิกษุในพระพุทธศาสนาเพื่อขจัดความมัวหมองที่จะเกิดขึ้นในหมู่แห่งพระสงฆ์ แต่ในทางกฎหมายอาญาซึ่งเป็นฝ่ายราชอาณาจักรต้องการคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของบุคคลอื่นและความสงบเรียบร้อยของสังคม 2) โครงสร้างและองค์ประกอบของความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาต่างประเทศ ประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทยและพระธรรมวินัย มีโครงสร้างทางอาญาเหมือนกัน การครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติโครงสร้างองค์ประกอบความผิด คือ องค์ประกอบภายนอก และองค์ประกอบภายใน 3) ความคล้ายคลึงและความแตกต่างกันของความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาต่างประเทศ ประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทย และพระธรรมวินัย (1) ความคล้ายคลึงกันของความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาของสหพันธ์สาธาณรัฐเยอรมนี กฎหมายอาญาของสาธารณรัฐฝรั่งเศส กฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทย และพระธรรมวินัยข้อทุติยปาราชิก (2) ความแตกต่าง คือ ผู้กระทำความผิด มูลค่าทรัพย์ โทษ และคุณธรรมทางกฎหมายที่ต้องการคุ้มครอง และ 4) ข้อสรุปและข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดของพระภิกษุที่ประพฤติผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัย (1) ขอเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นมาตรา 352/1 (2) ขอเสนอแก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญาแห่งราชอาณาจักรไทย ในมาตรา 356 (3) ขอเสนอแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 ในหมวดที่ 4 เรื่องนิคหกรรม และการสละสมณเพศ เป็นมาตรา 26 วรรค 2</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286466 แนวทางการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของครูตามหลักภาวนา 4 กลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี 2025-03-24T02:44:33+07:00 ชาคริต สุวรรณวงษ์ Chakrit_pv@hotmail.com เกษม แสงนนท์ Chakrit_pv@hotmail.com สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย Chakrit_pv@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของครู กลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา 2) เพื่อศึกษาวิธีการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของครูตามหลักภาวนา 4 า และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของครูตามหลักภาวนา 4 กลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจาจังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู กลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จำนวน 186 คน ใวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์ผู้บริหารและครู จำนวน 7 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของครู ตามหลักภาวนา 4 กลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครู ครูย่อมพัฒนาตน ทั้งในด้านวิชาชีพ ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญ ครูต้องประพฤติ ปฏิบัติตน เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ ครูต้องไม่แสวงหาประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้าง ครูต้องอบรม สั่งสอนฝึกฝน สร้างเสริมความรู้ ครูต้องรักและเมตตาศิษย์ ครูพึงช่วยเหลือเกื้อกูลครู และชุมชนในทางสร้างสรรค์ และข้ออยู่ในระดับต่ำสุด ได้แก่ ครูพึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำ ตามลำดับ 2) วิธีการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของครู ครูพึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำครู ที่มีคุณธรรมและจริยธรรม สร้างความเชื่อมั่นและความเคารพในวิชาชีพครูในสังคม ประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านจริยธรรมและคุณธรรม และชุมชนในทางสร้างสรรค์ ชักนำศิษย์ไปศึกษาในแหล่งวิทยาการชุมชน ไต่ถามทุกข์สุขของศิษย์อย่างสม่ำเสมอ เข้าใจความต้องการของผู้เรียนมากขึ้น เลือกใช้วิธีการที่หลากหลายในการสอนให้เหมาะสมกับสภาพของศิษย์เป็นการเสริมสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ดีและมีประสิทธิภาพ ใช้วิธีการที่เหมาะสมกับศิษย์แต่ละคนจะช่วยให้การเรียนการสอนมีความหลากหลาย ตอบสนองความต้องการของศิษย์ในแต่ละรูปแบบการเรียนรู้ ทำให้ศิษย์สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่และมีพัฒนาการที่ดีในทุกด้าน ปฏิบัติตนตามหลักจริยธรรมและคุณธรรมอย่างแท้จริงจะช่วยสร้างความไว้วางใจ ความยุติธรรม และความโปร่งใส ครูมีความพร้อมในการสร้างสรรค์การเรียนรู้และการรักษาความประพฤติและการแสดงออกของครู ควรเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับความคาดหวังของสังคม เคารพความรู้สึกของผู้อื่น สร้างแรงบันดาลใจแก่ศิษย์ เพื่อนครู แสดงออกถึงความรักในวิชาชีพและการเผยแพร่ผลงานต้องมาจากการกระทำที่เป็นรูปธรรมการพัฒนาตนเอง และการสร้างผลงานครูควรมุ่งมั่นพัฒนาทักษะและความสามารถของตนเองอย่างต่อเนื่องให้เกียรติและยอมรับในผลงานของเพื่อนร่วมวิชาชีพ 3) การพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของครูในกลุ่มสหวิทยาเขตปทุมเบญจา จังหวัดปทุมธานี ประกอบด้วย การคำนึงถึงบริบทพื้นที่ ความหลากหลายของวัฒนธรรมในพื้นที่ จำนวนครูต่อห้องเรียน หรือการเข้าถึงทรัพยากรด้านการศึกษา การพัฒนาตนเองด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การส่งเสริมการอบรมและพัฒนาวิชาชีพ การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะเฉพาะทาง การพัฒนาด้านจริยธรรมและคุณธรรม การจัดกิจกรรมปลูกฝังจิตวิญญาณความเป็นครู การใช้ทรัพยากรและเทคโนโลยีในท้องถิ่นใช้ความร่วมมือกับองค์กรในพื้นที่ การวัดผลและประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เกณฑ์วัดคุณลักษณะครูที่พึงประสงค์ที่ชัดเจนและการนำไปใช้ประเมินทั้งในระดับบุคคลและกลุ่ม การใช้ผลการประเมินนำมาพัฒนาแผนการอบรมรายบุคคลให้สมบูรณ์แบบ</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286244 รูปแบบการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของนิสิต คณะครุศาสตร์ สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2025-03-24T04:39:21+07:00 ฉัตรชัย ธารพล chatchai.tanpon@hotmail.com ชวาล ศิริวัฒน์ Chatchai.tanpon@hotmail.com นิเวศน์ วงศ์สุวรรณ chatchai.tanpon@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอการใช้รูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ในการส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของนิสิต คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหา และความต้องการจำเป็นของรูปแบบฯ ใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตคณะครุศาสตร์ สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย จำนวน 62 คน ด้วยวิธีเลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบ การสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 รูป/คน เพื่อตรวจสอบความเหมาะสม/ความสอดคล้องเชิงโครงสร้างของรูปแบบ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา และวิเคราะห์ค่าสถิติ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และระยะที่ 3 ประเมินประสิทธิผลการพัฒนารูปแบบ โดยทดลองใช้แบบวัดทักษะ และแบบสอบถามความถึงพอใจที่มีต่อรูปแบบกับนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง 62 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าสถิติ ได้แก่ การทดสอบค่าที ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบแพลตฟอร์มออนไลน์ในการส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของนิสิต มีความสอดคล้องเชิงโครงสร้างโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ประกอบด้วย 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4) สาระการเรียนรู้ 5) การวัดและประเมินผล ผลการประเมินการเรียนรู้ทักษะการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และนิสิตมีความพึงพอใจต่อรูปแบบ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286890 ความต้องการจำเป็นการพัฒนาความเป็นผู้บริหารมืออาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา 2025-03-25T11:12:59+07:00 น้ำอ้อย สุนทรพฤกษ์ Numaoy086@gmail.com พระมหาญาณวัฒน์ ฐิตวฑฺฒโน Numaoy086@gmail.com บุญเชิด ชำนิศาสตร์ Numaoy086@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นการพัฒนาความเป็นผู้บริหารมืออาชีพของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยมีประชากรที่เป็นผู้บริหารสถานศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 285 คน และกำหนดกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 165 คนด้วยการเปิดตารางขนาดกลุ่มตัวอย่างของ Krejcie and Morgan และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพที่เป็นจริงการพัฒนาความเป็นผู้บริหารมืออาชีพสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก สภาพที่ควรจะเป็นการพัฒนาความเป็นผู้บริหารมืออาชีพสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อเรียงลำดับตามความสำคัญของความต้องการความจำเป็นการพัฒนาความเป็นผู้บริหารมืออาชีพสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา โดยระบุความต้องการความจำเป็นที่มีความสำคัญมากที่สุด และมีความเร่งด่วนที่ต้องได้รับการพัฒนาก่อน พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความต้องการจำเป็นทุกขั้นตอน PNI<sub>modified</sub> อยู่ระหว่าง 0.085-0.096 โดยภาพรวมค่าดัชนี PNI<sub>modified</sub> ในที่นี้ คือ 0.090 และพบว่า อันดับ 1 ด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง อันดับ 2 ด้านวิสัยทัศน์กว้างไกล อันดับ 3 ด้านการบริหารจัดการที่ดีแบบผู้บริหารยุคใหม่ อันดับ 4 ด้านทักษะการสื่อสารและมนุษยสัมพันที่ดี อันดับ 5 ด้านบุคลิกภาพดี และอันดับ 6 ด้านคุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณของผู้นำ</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286613 แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา 2025-03-25T23:08:34+07:00 อุดมลักษ์ พิศรูป udomluk_phitrup@outlook.co.th สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย Udomluk_Phitrup@outlook.co.th พระมหาชำนาญ มหาชาโน Udomluk_Phitrup@outlook.co.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ 2) เพื่อศึกษาวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ตามหลักอิทธิบาท 4 และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ตามหลักอิทธิบาท 4 ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามประชากรทั้งหมดที่เป็นครูในวิทยาลัยอาชีวศึกษา จำนวน 112 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติการวิจัย คือ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 7 รูป/คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ของวิทยาลัยอาชีวศึกษา ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากทั้ง 5 ด้าน คือ ด้านการวัดและประเมินผลการจัดการเรียนการสอน ด้านอุปสรรคในการจัดการเรียนรู้ออนไลน์ ด้านการออกแบบบทเรียนออนไลน์ ด้านการใช้สื่อในการเรียนการสอนออนไลน์ ด้านการเลือกแพลตฟอร์มการจัดการเรียนการสอน ตามลำดับ 2) วิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ตามหลักอิทธิบาท 4 เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ 5 ด้าน บูรณาการตามหลักอิทธิบาท 4 คือ (1) ฉันทะ ความรักงาน (2) วิริยะ ความเพียรสู้งาน (3) จิตตะ ความใส่ใจงาน (4) วิมังสา งานด้วยปัญญา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ในวิทยาลัยอาชีวศึกษาพระนครศรีอยุธยา และ 3) แนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ตามหลักอิทธิบาท 4 ประกอบด้วย (1) การเลือกแพลตฟอร์มการสอน การเลือกแพลตฟอร์มที่ตอบสนองความต้องการของทั้งนักเรียนและครู การมีระบบประเมินและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ การควบคุมเวลาการเข้าถึงเนื้อหาได้ การมีเครื่องมือติดตามความตั้งใจของนักเรียน (2) การออกแบบบทเรียนออนไลน์ การมีเนื้อหาที่น่าสนใจและดึงดูดใจ การใช้สื่อมัลติมีเดียที่หลากหลาย การมีเนื้อหาสั้นกระชับและตรงประเด็น การมีโครงสร้างบทเรียนชัดเจนและแบ่งเนื้อหาเป็นส่วนย่อยๆ การประเมินผลเป็นระยะ (3) การใช้สื่อในการสอนออนไลน์ การใช้สื่อที่สามารถวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง การใช้สื่อที่ช่วยให้นักเรียนจดจ่อกับเนื้อหาได้โดยไม่ถูกรบกวน การสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ (4) การวัดและประเมินผล การออกแบบการเรียนการสอนที่หลากหลายและเชื่อมโยงกับทักษะอาชีพ การประเมินผลด้วยโครงการหรือภารกิจ การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินผลตัวเอง การประเมินผลอย่างต่อเนื่องและใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง และ (5) อุปสรรคในการจัดการเรียนรู้ออนไลน์ การประเมินและปรับปรุงระบบการเรียนออนไลน์อย่างต่อเนื่อง การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมและตรวจสอบได้ การรับฟังความคิดเห็นจากผู้เรียนเพื่อปรับปรุง การสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286815 รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของนักเรียนโรงเรียนสาธิตปทุม 2025-03-25T09:56:15+07:00 พลเอก อดิศร สุวรรณตรา adisorns@rocketmail.com พระมหาญาณวัฒน์ ฐิตวฑฺฒโน yannawat9@gmail.com สมศักดิ์ บุญปู่ adisorns@rocketmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของนักเรียนโรงเรียนสาธิตปทุม เป็นการวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ โดยมีวิธีดำเนินการวิจัย 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 โดยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 17 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบ โดยการตรวจรูปแบบ ด้วยแบบ CVI กับผู้เชี่ยวชาญการวิจัย จำนวน 5 รูป/คน ระยะที่ 3 เพื่อทดลองใช้รูปแบบ โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงเรียนสาธิตปทุม 18 รูป/คน ด้วยแบบประเมินความพึงพอใจ ระยะที่ 4 เพื่อประเมินรูปแบบ โดยการจัดสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 รูป/คน ด้วยแบบประเมินรูปแบบ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนารูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของนักเรียนโรงเรียนสาธิตปทุม มี 4 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 หลักการ 1) การดำเนินการตามหลักการ PDCA (Deming Cycle) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานตามวงจรคุณภาพ ซึ่งเป็นกระบวนการบริหารงานตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 องค์ประกอบที่ 3 การพัฒนา 1) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน PBL 2) การขับเคลื่อนการดำเนินงานตามหลักการ PDCA 3) การพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของนักเรียน โรงเรียนสาธิตปทุม องค์ประกอบที่ 4 การประเมิน มีการทดลองใช้รูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด และมีการประเมินรูปแบบการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสังคหวัตถุ 4 ในภาพรวมมีผลการประเมินอยู่ในระดับมากที่สุด สรุปองค์ความรู้การวิจัย คือ DA12</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286327 กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดกรุงเทพมหานคร 2025-03-26T23:41:31+07:00 นุชรี นุชนิล fasai2011_@hotmail.com ระวิง เรืองสังข์ fasai2011_@hotmail.com สมศักดิ์ บุญปู่ fasai2011_@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอกลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมมาภิบาลของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยแบบผสมวิธีระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างคือผู้บริหารโรงเรียน ครูและบุคลากรโรงเรียนขนาดเล็ก จำนวน 346 คน การสัมภาษณ์กผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 5 คน การสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 รูป/คน การทดลองใช้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 26 คน การประเมินกลยุทธ์ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 224 คน มีเครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ คู่มือการทดลองใช้ แบบประเมินกลยุทธ์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลยุทธ์การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 1) วิสัยทัศน์ 2) พันธกิจ 3) เป้าประสงค์ 4) กลยุทธ์ กลยุทธ์ที่ 1 การพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ด้วยระบบคุณภาพ (หลักนติธรรม) กลยุทธ์ที่ 2 โรงเรียนคุณธรรม (หลักคุณธรรม) กลยุทธ์ที่ 3 การพัฒนาศักยภาพครู และบุคลากรให้มีคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ (หลักความโปร่งใส) กลยุทธ์ที่ 4 การพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือทางการศึกษา (หลักการมีส่วนร่วม) กลยุทธ์ที่ 5 ยกระดับความรู้สู่คุณภาพผู้เรียนด้วยความรับผิดชอบ (หลักความรับผิดชอบ) กลยุทธ์ที่ 6 การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งระบบอย่างคุ้มค่า (หลักความคุ้มค่า) 5) การขับเคลื่อนกลยุทธ์สู่การปฏิบัติ และ 6) เงื่อนไขความสำเร็จ โดยมีผลการทดลองใช้กลยุทธ์ พบว่า ผลการเปรียบเทียบข้อมูลก่อนและหลังการทดลองใช้กลยุทธ์ มีค่า t เท่ากับ 20.908 มีความแตกต่างกันระหว่างก่อนและหลังการทดลองใช้ ซึ่งค่าเฉลี่ยหลังการทดลองสูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีผลการประเมินกลยุทธ์ พบว่ามีความเป็นประโยชน์ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม และความถูกต้องอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286607 แนวทางการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของกลุ่มโรงเรียนนวพัฒน์ จังหวัดระยอง 2025-03-25T23:00:42+07:00 พระวรพล วิชโย (ทองอยู่) phraworaphol@outlook.co.th พระสุรชัย สุรชโย phraworaphol@outlook.co.th บุญเชิด ชำนิศาสตร์ phraworaphol@outlook.co.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ 2) เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือตามหลักสังคหวัตถุ 4 และ 3) เพื่อนำเสนอแนวทางการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของกลุ่มโรงเรียนนวพัฒน์ จังหวัดระยอง การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยแบบผสมวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามประชากรทั้งหมดในการวิจัยที่เป็นผู้บริหารและครูกลุ่มโรงเรียนนวพัฒน์ จังหวัดระยอง จำนวน 92 คน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ คือ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 11 รูป/คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพสภาพการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้แก่ การมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันหรือการพึ่งพาอาศัยกันในทางบวก การรับผิดชอบรายบุคคลการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์แบบบเผชิญหน้า ทักษะทางสังคม และด้านสุดท้าย ได้แก่ กระบวนการกลุ่ม ตามลำดับ 2) วิธีการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือตามหลักสังคหวัตถุ 4 กลุ่มโรงเรียนนวพัฒน์ จังหวัดระยอง เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือ 5 ด้าน คือ ด้านกระบวนการกลุ่ม ด้านทักษะทางสังคม ด้านการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์แบบบเผชิญหน้า ด้านการรับผิดชอบรายบุคคล ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันหรือการพึ่งพาอาศัยกันในทางบวก โดยนำมาบูรณาการตามหลักสังหวัตถุ 4 คือ (1) ทาน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เสียสละช่วยเหลือผู้อื่น (2) ปิยวาจา การพูดจาด้วยถ้อยคำสุภาพเหมาะสมกับเวลา สถานที่ บุคคล (3) อัตถจริยา การทำตนให้เป็นประโยชน์ตามกำลังสติปัญญาความรู้ความสามารถ (4) สมานัตตา การวางตนให้เสมอต้นเสมอปลายเหมาะสมกับฐานะตำแหน่งหน้าที่การงาน เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเรียนการสอนของกลุ่มโรงเรียนนวพัฒน์ จังหวัดระยอง และ 3) แนวทางพัฒนาการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือตามหลักสังคหวัตถุ 4 ประกอบด้วย (1) กระบวนการกลุ่มตามหลักสังคหวัตถุ 4 การเสริมสร้างการทำงานร่วมกันในกลุ่ม และการพัฒนากระบวนการตัดสินใจร่วมกัน (2) ทักษะทางสังคมตามหลักสังคหวัตถุ 4 การเสริมสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการสร้างความเข้าใจและการยอมรับในความแตกต่าง (3) ด้านการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์แบบบเผชิญหน้าหลักสังคหวัตถุ 4 การส่งเสริมการสื่อสารที่เปิดกว้างและตรงไปตรงมา และการสนับสนุนการตัดสินใจที่เปิดกว้างและร่วมมือกัน (4) ด้านการรับผิดชอบรายบุคคลตามหลักสังคหวัตถุ 4 การส่งเสริมความรับผิดชอบส่วนบุคคลในการทำงานร่วมกัน และการติดตามผลและประเมินผลการทำงาน และ (5) การมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันหรือการพึ่งพาอาศัยกันในทางบวกตามหลักสังคหวัตถุ 4 การสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน และการเสริมสร้างทักษะในการทำงานร่วมกัน</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/287130 การพัฒนาชุดส่งเสริมการเรียนรู้วิชาแปลไทยเป็นมคธ สำหรับสำนักเรียนพระปริยัติธรรม แผนกบาลี วัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร 2025-03-25T23:24:20+07:00 พระมหาอุดร อุตฺตโร (มากดี) Udon921@gmail.com สมชัย ศรีนอก Udon921@gmail.com นิเวศน์ วงศ์สุวรรณ Udon921@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการพัฒนาชุดส่งเสริมการเรียนรู้วิชาแปลไทยเป็นมคธของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อพัฒนาชุดส่งเสริมการเรียนรู้วิชาแปลไทยเป็นมคธ และ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจของชุดส่งเสริมการเรียนรู้วิชาแปลไทยเป็นมคธของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการวิจัยและพัฒนา โดยการวิจัยเชิงคุณภาพใช้เก็บข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิ 10 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างแล้ววิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ส่วนการวิจัยเชิงทดลอง เก็บข้อมูลจากนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดสามพระยา 45 รูป/คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบทดสอบวัดผลสอบวัดผลชุดส่งเสริมการเรียนรู้วิชาแปลไทยเป็นมคธ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) สภาพปัญหาและความต้องการพัฒนาชุดส่งเสริมการเรียนรู้วิชาแปลไทยเป็นมคธของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ (1) การจัดการเรียนการสอน ควรเน้นการศึกษาภาษาบาลี ปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย มีครูที่มีความรู้และทัศนคติที่ดี พร้อมด้วยอุปกรณ์และสถานที่เรียนที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีและสื่อการสอนที่ทันสมัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน (2) ปัญหาที่พบ เนื้อหาที่มากและซับซ้อน การเน้นการจำและการแปล ทำให้นักเรียนไม่เข้าใจลึกซึ้ง ครูบางรูปขาดความพร้อม การใช้เทคโนโลยีและสื่อการสอนไม่ทันสมัย เวลาการเรียนไม่สม่ำเสมอ และขาดแคลนงบประมาณ จำเป็นต้องเน้นทักษะฟัง พูด อ่าน เขียน และการคิดวิเคราะห์ (3) ความต้องการพัฒนาชุดส่งเสริมการเรียนรู้ ควรปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้ทันสมัยและเข้าใจง่าย พัฒนาสื่อการเรียนการสอนและคู่มือการเรียนการสอน ใช้เทคโนโลยีและสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่น่าสนใจ พร้อมทั้งวัดผลประเมินผลอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน 2) ผลการพัฒนาชุดส่งเสริมการเรียนรู้วิชาแปลไทยเป็นมคธของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร พบว่า การออกแบบและพัฒนาชุดส่งเสริมการเรียนรู้วิชาแปลไทยเป็นมคธของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ (1) เนื้อหาชุดส่งเสริมการเรียนรู้ ถูกจัดเตรียมอย่างเหมาะสมเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและทักษะในการแปลภาษาไทยเป็นมคธ พร้อมสื่อเสริมการเรียนรู้ เช่น ภาพประกอบและวิดีโอ (2) การจัดรูปเล่ม มีการเลือกใช้ขนาด A5 หรือ B5 เพื่อความสะดวกในการพกพา ออกแบบปกและหน้าในให้สวยงาม ขนาดตัวอักษรอ่านง่าย และใช้เทคนิคการเย็บเล่มที่ทนทาน (3) การประเมินชุดส่งเสริมการเรียนรู้ มีการวัดผลที่ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการแปล โดยใช้เครื่องมือและคำถามที่เหมาะสม ส่วนชุดส่งเสริมการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ 67.00/88.15 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ช่วยพัฒนาทักษะการแปล ความเข้าใจความหมาย และการใช้โครงสร้างภาษาอย่างถูกต้อง ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักเรียนและครูผู้สอน เนื้อหาชัดเจน มีการฝึกปฏิบัติที่เน้นการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง นำไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตประจำวันและงานอาชีพ และ 3) ผลการประเมินความพึงพอใจของชุดส่งเสริมการเรียนรู้วิชาแปลไทยเป็นมคธของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดสามพระยา กรุงเทพมหานคร มีความพึงพอใจของนักเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286532 การพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ของโรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช 2025-03-24T04:02:30+07:00 สิทธิกร โพธิ์วิเชียร sittikornpowichian@hotmail.com พระครูประโชติกิจจาภรณ์ sittikornpowichian@hotmail.com บุญเลิศ วีระพรกานต์ sittikornpowichian@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย 2) เพื่อพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ของโรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย และ 3) เพื่อประเมินผลการพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ของโรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย สังกัดเทศบาลนครนครศรีธรรมราช การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ เก็บข้อมูลโดยสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 15 คน ประเมินผลการพัฒนาครูโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 15 คน และประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ โดยนักเรียน 470 คน วิเคราะห์เชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยาย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบ t-test และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลจากการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดการเรียนรู้ของโรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย พบว่า ประกอบด้วย (1) การออกแบบการเรียนรู้มีองค์ประกอบไม่ครบ ขาดการคำนึงถึงผู้เรียนเป็นรายบุคคล (2) จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญการเรียนรู้มีครูเป็นศูนย์กลาง สอนแบบบรรยาย (3) การใช้และพัฒนาสื่อการเรียนรู้ ไม่ได้ตระหนักและเห็นความสำคัญในการใช้สื่อการเรียนรู้ ขาดการพัฒนา และปรับปรุง (4) การวัดประเมินผลการเรียนรู้ ใช้วิธีการสอบและการตรวจแบบฝึกหัด การวัดประเมินผลไม่หลากหลาย 2) ผลการพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ของโรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย เป็นเการพัฒนาดำเนินการเป็น 2 วงรอบ วงรอบที่ 1 วางแผนการอบรมเชิงปฏิบัติการ จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ครูนำแผนการจัดการเรียนรู้ไปจัดการเรียนรู้ในห้องเรียน นิเทศการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประชุมสะท้อนผล และสรุปผล วงรอบที่ 2 ปรับปรุงจากสรุปผล 3) ผลการประเมินผลการพัฒนาครูในการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ของโรงเรียนเทศบาลวัดศาลามีชัย พบว่า (1) คะแนนหลังการอบรมสูงกว่าคะแนนก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (2) คะแนนแผนการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ฉบับปรับปรุงสูงกว่าคะแนนแผนการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .04 (3) คะแนนการนิเทศตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 ฉบับปรับปรุงสูงกว่าคะแนนการนิเทศตามแผนการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (4) ผลการประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบอริยสัจ 4 มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ระดับดีมาก</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/287161 สภาพองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 2025-03-27T00:46:25+07:00 ประภาพร ยอดย้อย jang.prapaporn@gmail.com ระวิง เรืองสังข์ jang.prapaporn@gmail.com สมศักดิ์ บุญปู่ jang.prapaporn@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เป็นการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารและครูในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา จำนวน 400 คน และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สภาพองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา พบว่า สภาพที่ปฏิบัติจริงองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงจากมากไปหาน้อย คือ ด้านองค์กร ด้านคน ด้านความรู้ ด้านการเรียนรู้ และด้านที่เทคโนโลยี ตามลำดับ ส่วนสภาพที่คาดหวังองค์กรแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน เรียงจากมากไปหาน้อย คือ ด้านองค์กร ด้านคน ด้านความรู้ ด้านการเรียนรู้ และด้านเทคโนโลยีมี ตามลำดับ</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286619 รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะด้านภาวะผู้นำครูตามหลักวุฒิธรรม สำหรับครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา 2025-03-26T21:08:36+07:00 นันทวรรณ ศรีคำ wanwan2111t@gmail.com พระมหาญาณวัฒน์ ฐิตวฑฺฒโน wanwan2111t@gmail.com ทองดี ศรีตระการ wanwan2111t@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาสมรรถนะด้านภาวะผู้นำครูตามหลักวุฒิธรรม สำหรับครูโรงเรียนมัธยมศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี มีวิธีดำเนินการวิจัย 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ศึกษาความต้องการจำเป็นการพัฒนาสมรรถนะด้านภาวะผู้นำครูของครูโรงเรียนมัธยมศึกษาด้วยการใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นครูโรงเรียนมัธยมศึกษา 302 คน ระยะที่ 2 พัฒนารูปแบบ ด้วยการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 ท่าน และการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ 9 ท่าน ระยะที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบ ด้วยการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้ทรงคุณวุฒิ 17 ท่าน และระยะที่ 4 ประเมินรูปแบบ ด้วยการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา CVI กับผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพื้นฐาน คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการพัฒนาสมรรถนะด้านภาวะผู้นำครูตามหลักวุฒิธรรม สำหรับครูโรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 หลักการ องค์ประกอบที่ 2 วัตถุประสงค์ องค์ประกอบที่ 3 การพัฒนา 1) สมรรถนะด้านภาวะผู้นำครู 2) หลักวุฒิธรรม 4 คือ (1) สัปปุริสสังเสวะ การคบคนดี (2) สัทธัมมัสสวนะ การตั้งใจฟังคำสั่งสอน (3) โยนิโสมนสิการ การพิจารณาไตร่ตรองโดยแยบคาย (4) ธัมมานุธัมมปฏิบัติ การลงมือปฏิบัติจริง 3) การพัฒนาสมรรถนะด้านภาวะผู้นำครูตามหลักวุฒิธรรม 4 องค์ประกอบที่ 4 การนำไปใช้ องค์ประกอบที่ 5 การทดลองใช้ และองค์ประกอบที่ 6 การประเมิน ผลการทดลองใช้รูปแบบ ในภาพรวมมีความคิดเห็นต่อรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด และผลการประเมินรูปแบบมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อเรื่องมีค่าเท่ากับ 1.00 และค่าดัชนีความตรงตามเนื้อเรื่องทั้งฉบับ มีค่าเท่ากับ 1.00 ด้วยเหมือนกัน แสดงว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นมีความเหมาะสม มีความถูกต้อง มีความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ สรุปองค์ความรู้การวิจัย “BLDCV”</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286535 รูปแบบการบริหารงานวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของโรงเรียนขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 2025-03-26T21:06:57+07:00 เทพศิรินทร์ วุฒิยางกูร kruarmpts@gmail.com ระวิง เรืองสังข์ kruarmpts@gmail.com ทองดี ศรีตระการ kruarmpts@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอรูปแบบการบริหารงานวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของโรงเรียนขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เป็นการวิจัยแบบผสมวิธี ประกอบด้วยการใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง คือ กลุ่มผู้บริหารโรงเรียน จำนวน 220 คน การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิโดยเลือกเฉพาะเจาะจงจำนวน 5 คน การสนทนากลุ่มโดยผู้ทรงคุณวุฒิ 9 คน และการทดลองใช้รูปแบบ จากการสัมมนาผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 25 คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบศึกษาเอกสาร แบบสัมภาษณ์ แบบสนทนากลุ่ม และคู่มือการใช้รูปแบบ การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติด้วยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการบริหารงานวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของโรงเรียนขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ซึ่งประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 ส่วนนำ ได้แก่ หลักการรูปแบบ การบริหารงานวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ ประกอบด้วย 1) การวางแผนงานด้านวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 2) การบริหารการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 3) การพัฒนาบุคลากรโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 4) การจัดการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 5) การวัดและประเมินผลโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 6) การพัฒนาสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ 7) การประสานความร่วมมือโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ โดยมีหลักธรรมที่ใช้ในการบริหารงานวิชาการโดยใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์คือหลักสัปปุริสธรรม 7 ประกอบด้วย 1) รู้เหตุ (ธัมมัญญุตา) 2) รู้ผล (อัตถัญญุตา) 3) รู้ตน (อัตตัญญุตา) 4) รู้ประมาณ (มัตตัญญุตา) 5) รู้กาล (กาลัญญุตา) 6) รู้ชุมชน (ปริสัญญุตา) 7) รู้บุคคล (ปุคคลัญญุตา) และวัตถุประสงค์รูปแบบ 1) เพื่อส่งเสริมการนำหลักธรรมสัปปุริสธรรม 7 มาประยุกต์ใช้ในการบริหารงานวิชาการอย่างเป็นรูปธรรม 2) เพื่อส่งเสริมให้สถานศึกษาเลือกเทคโนโลยีในการบริหารงานวิชาการอย่างสร้างสรรค์ 3) เพื่อยกระดับคุณภาพการบริหารงานวิชาการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเหมาะสม ส่วนที่ 2 ตัวแบบ เป็นกระบวนการดำเนินการ ส่วนที่ 3 การนำรูปแบบไปใช้ ประกอบด้วยการเตรียมความพร้อม การดำเนินงาน การประเมินผล การสรุปผล และส่วนที่ 4 เงื่อนไขความสำเร็จ ประกอบด้วยการปรับใช้ สร้างเป้าหมายเดียวกัน เทคโนโลยี และความร่วมมือ</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/287002 ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง 2025-03-25T19:58:37+07:00 พระครูกิตติญาณวิสิฐ mcusd6564@gmail.com พระมหาญาณวัฒน์ ฐิตวฑฺฒโน yannawat9@gmail.com พระปลัดพุทธิไกร ฐิตโสภโณ mcusd6564@gmail.com พระศักดา ชนาสโภ mcusd6564@gmail.com พระมหาวีรวิชญ์ ตนฺติปาโล mcusd6564@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง 2) เพื่อพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง และ 3) เพื่อประเมินภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง เป็นการวิจัยแบบผสมวิธีพหุระยะ โดยการใช้แบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้บริหารและครูในโรงเรียนประถมศึกษาอ่างทอง จำนวน 291 คน การสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 รูป/คน และการใช้แบบประเมินผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 15 รูป/คน เลือกแบบเจาะจง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณด้วยสถิติวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก คือ วิสัยทัศน์ด้านบรรยากาศองค์การ วิสัยทัศน์ด้านความคิดสร้างสรรค์ วิสัยทัศน์ด้านความฉลาดทางอารมณ์ วิสัยทัศน์ด้านการสื่อสาร และพฤติกรรมภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ ตามลำดับ 2) การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทองโดยบูรณาการหลักอิทธิบาท 4 เป็นการบูรณาการหลักการคิดวิเคราะห์ของบุคคลที่ต้องมีหลักฉันทะและหลักวิริยะเป็นตัวกำกับในการนำพาสถานศึกษาให้บรรลุตามวิสัยทัศน์ และแผนการบริหารตามวงจรเดมมิ่ง (PDCA) และต้องมีหลักจิตตะและหลักวิมังสาที่สามารถให้ผู้บริหารและครูสามารถคิดเป็นวิเคราะห์เป็นโดยคิดและวิเคราะห์ได้อย่างถูกวิธีต่อเนื่องจากเหตุสู่ผลภายใต้พื้นฐานของคุณธรรมที่จะนำไปสู่การปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จ และการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม เห็นคุณค่าของการพัฒนาสถานศึกษาเพื่อการเรียนรู้และการดำเนินชีวิตที่ประสบความสำเร็จตามวิสัยทัศน์ที่ได้กำหนดไว้ และยังแสดงออกถึงความมีน้ำใจ จิตอาสาที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาคุณธรรม ทำกิจกรรมเพื่อสถานศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาที่จะส่งผลต่อเนื่องไปยังนักเรียน ผู้ที่จะได้ผลประโยชน์โดยตรงจากภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ 3) ผลประเมินภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง พบว่า หลังจัดกิจกรรมในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน คือ หลักการ แนวคิด ทฤษฎี และเทคนิคต่างๆ ที่นำมาใช้พัฒนาภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร มีความเหมาะสมสอดคล้องกัน มีความเหมาะสมกับการนำไปใช้จัดกิจกรรม มีความพึงพอใจภาพรวมของการทดลองกิจกรรมในครั้งนี้ เนื้อหาของการจัดกิจกรรมการพัฒนามีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย ภาวะผู้นำเชิงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารมีส่วนช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286621 แนวทางการบริหารสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของสำนักเรียนอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 2025-03-24T22:13:32+07:00 พระมหาภูริณัฐ ภูริณฏฺโฐ (อัมสิงห์) phramahapoorinut@outlook.co.th สุทธิพงษ์ ศรีวิชัย phramahapoorinut@outlook.co.th ประวิทย์ ชัยสุข phramahapoorinut@outlook.co.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารสำนักเรียนพระปริยัติธรรมของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี 2) เพื่อศึกษาวิธีการบริหารสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 และ 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของสำนักเรียนอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เป็นงานวิจัยแบบผสมวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากประชากร ได้แก่ เจ้าสำนักเรียน พระอาจารย์ผู้สอน และพระภิกษุผู้เรียน สำนักเรียนอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จำนวน 96 รูป การวิเคราะห์ทางสถิติ คือ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิจัยเชิงคุณภาพ ทำการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 7 รูป วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารสำนักเรียนพระปริยัติธรรมของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี สำนักเรียนอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ภาพรวม 5 ด้าน อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากน้อยไปหามาก ได้แก่ ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านการเรียนการสอน ด้านการบริหารหลักสูตร ด้านกิจกรรมการเรียนการสอน และรายด้านน้อยที่สุด ได้แก่ ด้านสื่อการเรียนการสอน ตามลำดับ 2) วิธีการบริหารสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของสำนักเรียนอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ได้แก่ สำนักเรียนมีกระบวนการใช้เครื่องมือหรือวิธีการวัดประเมินผลที่หลากหลาย การมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกฝ่ายในการกำหนดเกณฑ์สำหรับการวัดและประเมินผล ทำให้เกิดความโปร่งใสและความเชื่อมั่นในกระบวนการเรียนการสอนจะช่วยให้การบริหารด้านนี้มีความโปร่งใส ยุติธรรม และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนมีการให้กำลังใจ ความเอาใจใส่ และความรักแก่ผู้เรียนการจัดทำแผนการสอนและตารางสอนล่วงหน้าจะช่วยให้สำนักเรียนมีการดำเนินงานที่เป็นระบบ สร้างความมั่นใจให้กับผู้สอนและนักเรียน และส่งเสริมประสิทธิภาพในการเรียนการสอนทั้งยังส่งเสริมให้ผู้เรียนและผู้สอนเกิดความเข้าใจในธรรมะอย่างลึกซึ้งและนำไปปฏิบัติได้จริง 3) แนวทางการบริหารสำนักเรียนตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของสำนักเรียนอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ประกอบด้วย (1) การจัดทำหลักสูตรที่สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา พัฒนาหลักสูตรบาลีที่เน้นทั้งความรู้ด้านบาลีไวยากรณ์ การแปล และอรรถกถา มีเป้าหมายการศึกษาของพระพุทธศาสนา กำหนดเป้าหมายชัดเจน ตั้งเป้าหมายให้ผู้เรียนสามารถสอบผ่านบาลีสนามหลวงในระดับต่างๆ (2) การสอนที่ปรับให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน ผู้สอนต้องรู้จักความสามารถของนักเรียน (3) การจัดทำแผนภาพ หรือตารางสรุปกฎไวยากรณ์เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่ายขึ้น การใช้คู่มือคำศัพท์บาลีและแบบฝึกหัดทบทวน การใช้เทคโนโลยีเสริมการเรียนการสอน จัดหาสื่อดิจิทัลและออนไลน์ (4) ส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้สอนและผู้เรียน (5) ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย และการทดสอบทักษะการแปลบาลี พร้อมติดตามผลการเรียนอย่างต่อเนื่อง</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/287068 รูปแบบการศึกษาพระพุทธศาสนาในวัดกวางเสี่ยวและสถานศึกษาเฉพาะทาง ประเทศจีน 2025-03-25T20:26:58+07:00 พระปลัดปรีชา นนฺทโก (จุลเจือ) Phrapaladchuea2038@hotmail.com พีรวัฒน์ ชัยสุข Phrapaladchuea2038@hotmail.com พระครูโสภณภัทรเวทย์ Phrapaladchuea2038@hotmail.com พระครูวิวัฒน์ธรรมานุกูล Phrapaladchuea2038@hotmail.com ณัฐนิชา ปัญญ์นิภา Phrapaladchuea2038@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อรูปแบบการศึกษาพระพุทธศาสนาในวัดกวางเสี่ยวและสถานศึกษาเฉพาะทางในประเทศจีน วิเคราะห์บทบาทของวัดกวางเสี่ยวในการส่งเสริมการศึกษาพระพุทธศาสนาในบริบทของประเทศจีน และเปรียบเทียบรูปแบบการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาในวัดกวางเสี่ยวกับสถานศึกษาเฉพาะทางในประเทศจีน โดยใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 11 คน และทำการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อรูปแบบการศึกษาพระพุทธศาสนาในบริบทดังกล่าว สามารถแบ่งออกเป็น 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่ 1) ปัจจัยด้านสถาบันและหลักสูตร 2) ปัจจัยด้านบุคลากร 3) ปัจจัยด้านนโยบายและบริบททางสังคม 4) ปัจจัยด้านเทคโนโลยีและปัจจัยส่วนบุคคล วัดกวางเสี่ยวมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศจีนในด้านต่างๆ เช่น เป็นศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม และเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เมื่อเปรียบเทียบรูปแบบการจัดการศึกษาพระพุทธศาสนาในวัดกวางเสี่ยวกับสถานศึกษาเฉพาะทางในประเทศจีน พบว่ามีความแตกต่างกันในหลายด้าน เช่น บทบาทและรูปแบบการจัดการศึกษา หลักสูตรและเนื้อหาการเรียนการสอน วิธีการเรียนการสอน และสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/287133 ชุดการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐานของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดไทรเหนือวิทยา จังหวัดนครสวรรค์ 2025-03-26T23:25:55+07:00 พระครูศรีสุธรรมนิวิฐ (ธานี สุขแจ่ม) sutamniwit@hotmail.com สมชัย ศรีนอก sutamniwit@hotmail.com พระวิเทศพรหมคุณ sutamniwit@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวิเคราะห์การพัฒนาชุดการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐาน 2) เพื่อพัฒนาชุดการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐานของโรงเรียนพระปริยัติธรรม และ 3) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐานโดยกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา วัดไทรเหนือวิทยา จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 33 รูป/คน การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบพัฒนา จากแบบการสำรวจ และวิจัยเชิงคุณภาพ ร่วมกับการสัมภาษณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสอบถามความคิดเห็นการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา 2) แบบสัมภาษณ์ 3) ชุดการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐาน โดยใช้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม 6 ชุด และ 4) แบบประเมินคุณภาพชุดการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐาน 5) แบบประเมินผลสัมฤทธิ์ทางเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติค่าเฉลี่ยร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติทดสอบ (T-test)</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการศึกษาวิเคราะห์การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐาน จากปัญหาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ของสามเณรนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พบว่า โดยภาพรวมในด้านจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับปานกลาง 2) ผลการพัฒนาชุดการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐาน พบว่า ชุดการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐาน จำนวน 6 ชุด มีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ 6 ขั้น ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 กำหนดปัญหา ขั้นที่ 2 กำหนดจุดมุ่งหมายในการทำโครงการ ขั้นที่ 3 วางแผนและวิเคราะห์โครงการ ขั้นที่ 4 ลงมือปฏิบัติและแก้ปัญหา, ขั้นที่ 5 ประเมินผลระหว่างปฏิบัติงาน ขั้นที่ 6 สรุปผล รายงานผล และเสนอผลงาน โดยมีประสิทธิภาพเท่ากับ E181.94/E284.97 ซึ่งเป็นไปเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ และ 3) ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบใช้โครงการเป็นฐานของโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา พบว่าหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเรียนทั้ง 5 ชุดการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286094 การบูรณาการหลักอิทธิบาท 4 ในการพัฒนาผู้เรียนด้วยบันได 5 ขั้น สำหรับโรงเรียนมาตรฐานสากล 2025-03-24T19:22:21+07:00 เนลวัฒก์ กิ่งสุวรรณพงษ์ nelawat@hotmail.com <p>บทความเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอการบูรณาการหลักอิทธิบาท 4 ในการพัฒนาผู้เรียนด้วยบันได 5 ขั้น สำหรับโรงเรียนมาตรฐานสากล เนื่องจากว่า การจัดการศึกษาในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนมีทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้ โดยเน้นการพัฒนาทักษะด้านการปรับตัว การเรียนรู้ตลอดชีวิต และการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข โครงการโรงเรียนมาตรฐานสากลจึงถูกขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนา ยกระดับการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่าสากล ให้ผู้เรียนมีศักยภาพและความสามารถทัดเทียมกับผู้เรียนนานาประเทศ โดยการพัฒนาผู้เรียนสู่มาตรฐานสากลสามารถทำได้โดยการจัดการเรียนรู้ตามบันได 5 ขั้น ซึ่งประกอบด้วย การตั้งคำถาม/สมมติฐาน การสืบค้นความรู้และสารสนเทศ การสร้างองค์ความรู้ การสื่อสารและนำเสนออย่างมีประสิทธิภาพ การบริการสังคมและจิตสาธารณะ การบูรณาการหลักอิทธิบาท 4 ซึ่งประกอบด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา เข้ากับการพัฒนาผู้เรียนด้วยบันได 5 ขั้น จะช่วยส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนได้อย่างเป็นองค์รวมและยั่งยืน</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/287208 การนิเทศการสอนตามหลักพุทธลีลา 2025-03-24T22:21:18+07:00 รัฐวัลย์ เหมือนมาตร pupupts@gmail.com <p>บทความนี้จะนำเสนอการนิเทศการสอนตามหลักพุทธลีลาเพื่อเกิดประโยชน์ต่อการการจัดการเรียนของครูให้มีความสำเร็จและนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้นได้ กล่าวคือ ครูผู้สอนจะต้องมีความรู้เข้าใจในเนื้อหาที่สอนทำให้การนิเทศการเรียนการสอนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยแนวคิดการนิเทศการสอนตามหลักพุทธลีลาที่นำเสนอในบทความนี้สามารถจะมาปรับใช้ในการนิเทศการสอนของครู ครูต้องปรับทัศนคติ ความคิด ยอมรับการเปลี่ยนแปลงตามคำชี้แนะ แนะนำครูจะต้องปรับวิธีคิดเปลี่ยนการสอน จัดหาสื่อการสอนให้ตรงกับความต้องการของผู้เรียน มีความทันสมัยตามยุคตามสมัยปรับบทบาทจากเดิมที่ครูเป็นศูนย์กลาง (Teacher Center) ของความรู้มาเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Coaching) คอยชี้แนะเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ด้วยตนเอง (Child Center) สอนเนื้อหาน้อยลงให้ผู้เรียนศึกษาเรียนรู้ จัดการสอนให้นักเรียน ครู ผู้บริหารมีส่วนร่วมมากขึ้น เมื่อผู้เรียนเป็นผู้รับฟังจากครูฝ่ายเดียว ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ค่อนข้างน้อย แต่ถ้ามีการจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ผู้เรียนได้ปฏิบัติลงมือทำด้วยตนเองผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้แบบคงทนถาวร วิธีการจัดการเรียนการสอนที่เป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน คือ การเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติและการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ด้วย ดังนั้น การนิเทศการศึกษาที่บูรณาการกับหลักพุทธลีลาจึงเป็นแนวทางการนำหลักพุทธธรรมมาบูรณาการกับการนิเทศทางการศึกษาที่ผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศจะเป็นตัวช่วยหนึ่งในการกระตุ้น ส่งเสริม สนับสนุน พัฒนาและช่วยเหลือครูให้เกิดการพัฒนาสมรรถนะการจัดการเรียนการสอนของตนเองให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286928 ภาวะผู้นำดิจิทัลตามหลักปัญญา 3 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา 2025-03-27T23:13:36+07:00 นฤภัค สันป่าแก้ว naruephak.s20@hotmail.co.th พระครูสมุห์ทอง ฐิตปญฺโญ naruephak.s20@hotmail.co.th <p>บทความนี้จะนำเสนอภาวะผู้นำดิจิทัลตามหลักปัญญา 3 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา เป็นการบูรณาการภาวะผู้นำดิจิทัลกับหลักปัญญา 3 จะช่วยให้ผู้บริหารสามารถนำพาสถานศึกษาไปสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยมีองค์ประกอบหลัก 2 ประการ คือ องค์ประกอบที่ 1 ภาวะผู้นำดิจิทัล เป็นความสามารถของผู้บริหารในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อพัฒนาองค์กร ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสร้างนวัตกรรม โดยมี 7 องค์ประกอบหลัก เช่น การมีวิสัยทัศน์ดิจิทัล การบริหารข้อมูลสารสนเทศ และการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ดิจิทัล องค์ประกอบที่ 2 หลักปัญญา 3 เป็นแนวคิดที่ช่วยเสริมสร้างภาวะผู้นำดิจิทัลให้มีความรอบรู้และสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง ได้แก่ 1) สุตมยปัญญา (รู้ฟัง) การเรียนรู้จากการฟัง อ่าน และศึกษาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีและแนวโน้มดิจิทัล 2) จินตามยปัญญา (รู้คิด) การคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลดิจิทัล เพื่อพัฒนาแนวทางหรือกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสถานศึกษา และ 3) ภาวนามยปัญญา (รู้ทำ) การนำเทคโนโลยีไปใช้จริง ผ่านการบริหารงาน การส่งเสริมการเรียนรู้ และการสร้างสรรค์นวัตกรรมในองค์กร</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286640 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสถานศึกษาตามหลักโพชฌงค์ในยุค BANI World 2025-03-25T01:09:33+07:00 อาทิตย์ ยงสวัสดิ์ kdear.now@gmail.com <p>บทความนี้จะนำเสนอแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสถานศึกษาตามหลักโพชฌงค์ในยุค BANI World โดยแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แบ่งเป็น 3 กลุ่มแนวคิดหลัก ได้แก่ แนวคิดกลุ่มที่ 1 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นการดำเนินการให้บุคคลได้รับประสบการณ์และการเรียนรู้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อที่จะนำเอามาปรับปรุงความสามารถในการทำงาน แนวคิดกลุ่มที่ 2 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นการนำกิจกรรมที่มีการกำหนดรูปแบบอย่างเป็นระบบเพื่อใช้ในการเพิ่มเติมศักยภาพ ความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ ทัศนคติ และปรับปรุงพฤติกรรมของบุคลากรให้ดีขึ้น แนวคิดกลุ่มที่ 3 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นการบูรณาการการเรียนรู้และงานเข้าด้วยกัน <br />การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีการดำเนินการ 2 ส่วน คือ การพัฒนามนุษย์ในฐานะที่เป็นทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรหรือสถานศึกษานั้นๆ และในฐานะที่เป็นมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถพัฒนาได้โดยสมบูรณ์ด้วยสิกขา 3 หรือ ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการบริหารการศึกษาในปัจจุบันและโลกอนาคต ที่เป็นทั้งโลกของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของพลวัตสังคมโลกแบบ BANI อันเป็นโลกที่มีความผันผวน เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน และพลิกผันอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทรัพยากรมนุษย์ในสถานศึกษาควรมีทักษะที่สำคัญเพื่อการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความวิตกกังวล ความผันผวน พลิกผันอยู่ตลอดเวลาในโลกแบบ BANI โดยประยุกต์ใช้กับหลักโพชฌงค 7 เป็นธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้ามาบูรณาการในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสถานศึกษาในยุค BANI World เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286950 กลยุทธ์การสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้ด้วยอิทธิบาท 4 2025-03-24T19:23:58+07:00 สาคร ไปด้วย sakorn@thanyarat.ac.th <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์การสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา โดยมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาท 4 ซึ่งเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ประกอบด้วย ฉันทะ (ความพึงพอใจในการทำงาน) วิริยะ (ความพยายาม) จิตตะ (ความตั้งใจ) และวิมังสา (การพิจารณาไตร่ตรอง) การสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้ในสถานศึกษาเป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้บุคลากรพัฒนาตนเองผ่านการเรียนรู้ร่วมกันและการแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อให้สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การนำหลักอิทธิบาท 4 มาใช้ในการพัฒนาบุคลากรในสถานศึกษาช่วยให้บุคลากรเกิดความรักในงาน มีความพยายามในการพัฒนาตนเอง มีความใส่ใจในการทำงานอย่างมีระบบ และสามารถทบทวนและปรับปรุงการทำงานของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ และนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/287096 ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักวุฒิธรรม 4 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา 2025-03-27T23:08:26+07:00 ศิริ สุดสังข์ waree.sok@mcu.ac.th วารี โศกเตี้ย waree.sok@mcu.ac.th <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์นำเสนอภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ตามหลักวุฒิธรรม 4 สำหรับผู้บริหารสถานศึกษา กล่าวคือ ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์เป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาสถานศึกษาและองค์กรให้สามารถปรับตัวและเติบโตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้นำที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีทั้งวิสัยทัศน์ ความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแก้ปัญหา เพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ โดยการประยุกต์ใช้ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ร่วมกับหลักวุฒิธรรม 4 ประการ จะช่วยให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถพัฒนาตนเองและสถานศึกษาได้อย่างรอบด้าน สร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ และนำพาสถานศึกษาไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JOB_EHS/article/view/286668 การบริหารสถานศึกษาตามแนวคิดการศึกษาพหุวัฒนธรรมบูรณาการกับวงจรคุณภาพ PDCA 2025-03-24T19:25:32+07:00 กฤติมา หาญมนตรี krittima.h@hotmail.com <p>บทความเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอการบริหารสถานศึกษาตามแนวคิดการศึกษาพหุวัฒนธรรม โดยการนำวงจรคุณภาพ PDCA มาใช้ เนื่องด้วยการบริหารสถานศึกษาในโรงเรียนที่มีเด็กต่างวัฒนธรรม ต่างเชื้อชาติหรือกลุ่มชาติพันธุ์ ต่างภาษา ศาสนา ขนบประเพณี และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ให้สามารถเรียนร่วมกันได้ เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจจากผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การจัดหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การสร้างสภาพแวดล้อมภายในสถานศึกษาทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมของตนเองและวัฒนธรรมของเพื่อนคนอื่นๆ เรียนรู้ที่จะยอมรับในความแตกต่างทางวัฒนธรรม ไม่มีอคติต่อกัน ไม่เกิดการแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติต่อกัน ประกอบด้วย การบริหารงานวิชาการ การบริหารงานงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป เพื่อเป้าหมายสำคัญคือ การฝึกผู้เรียนให้เป็นพลเมืองที่พร้อมจะอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลายวัฒนธรรม รวมถึงการลดอคติและการเลือกปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน และสังคม อยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความสามัคคี ปรองดอง ยอมรับในความแตกต่าง บริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน</p> 2025-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 วารสารบวรสหการศึกษาและมนุษยสังคมศาสตร์