ไสยศาสตร์กับการพัฒนาคุณภาพชีวิต
Main Article Content
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ วิจักษ์และวิธาน ไสยศาสตร์เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักกระบวนทัศน์ปรัชญาหลังสมัยใหม่แนวทางสายกลาง ใช้วิธีวิจัยทางปรัชญา โดยรวบรวมข้อมูลหลักประเภทเอกสารนำมาสู่การตีความเชิงปรัชญาของกาดาเมอร์ตามทฤษฎีการหลอมรวมครอบฟ้าตามผู้อ่าน และนำเสนอผ่านวิภาษวิธี ผลการวิจัยพบว่า
- ไสยศาสตร์ตีความในเชิงอภิปรัชญาเป็นแนวคิดทวินิยมคือ มีความเป็นจริงของจิตและความเป็นจริงของสสารอยู่ร่วมกัน จิตมีพลัง สสารก็มีพลัง ต่างฝ่ายต่างมีพลังและสามารถใช้พลังเพื่อให้เกิดผลได้
- การวิเคราะห์ด้วยวิภาษวิธีพบว่า 1) ฝ่ายตรงข้ามได้แก่ ผู้ถือกระบวนทัศน์สมัยใหม่ เสนอเหตุผลไว้ว่า พึงจำแนกแยกแยะไสยศาสตร์ในระบบเครือข่ายความรู้ (knowledge network) ส่วนใดที่เป็นองค์ความรู้ที่ไม่ชัดเจน หรือการได้มาซึ่งความรู้ไม่อาจตรวจสอบได้ในเชิงประจักษ์ก็ควรละเว้นไว้ไม่นำมาใช้งาน ส่วนที่กรองไว้แล้วย่อมเป็นแต่ส่วนดีฝ่ายเดียว เป็นองค์ความรู้ที่ชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือของวิธีการและกระบวนการได้มาซึ่งความรู้ เมื่อจะต้องประยุกต์ใช้ในชีวิตหรือในด้านต่าง ๆ ย่อมที่จะตรวจสอบสอบทวนความถูกต้องได้และพิจารณาตามหลักจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน 2) วิจารณ์เหตุผลฝ่ายตรงข้ามได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามมีความไม่เป็นกลางต่อไสยศาสตร์ เป็นอคติตามแนวคิดของฟรานซิส เบคอน ซึ่งเป็นเทวรูปแห่งตลาดนัดและเทวรูปแห่งโรงละคร อันเป็นอคติจากภาษาและอคติจากความโน้มเอียงทางวัฒนธรรม ประเพณีและศาสนา ทำให้กดข่มไสยศาสตร์ไว้ว่าเป็นความเชื่อในเรื่องเหลวไหล ไร้สาระ เป็นความงมงาย เป็นเรื่องของผู้ไร้การศึกษา และ 3) เหตุผลฝ่ายผู้วิจัยตามกระบวนทัศน์หลังสมัยใหม่ได้แก่ (1) ไสยศาสตร์เป็นความจริงตามปรัชญาสัมบูรณ์นิยม (2) ไสยศาสตร์เป็นความเชื่อพื้นฐานของสังคม (3) ลัทธิปฏิบัตินิยมใหม่รับรองความดีของไสยศาสตร์ และ (4) ไสยศาสตร์รองรับพลังของการสร้างสรรค์ การปรับตัว การร่วมมือ และการแสวงหาตามหลักปรัชญากระบวนทัศน์หลังสมัยใหม่ได้
- วิจักษ์คุณค่าของความหมายและภาพของความเป็นจริงยืนยันได้ว่าไสยศาสตร์สามารถประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ด้วยกระบวนทัศน์ปรัชญาหลังสมัยใหม่แนวทางสายกลาง
- วิธานผลการวิจัยได้ว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในระดับปัจเจกบุคคลและในระดับสังคมเพื่อสนับสนุนการสร้างองค์รวมของความสัมพันธ์อันเกื้อกูลระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติ และระหว่างมนุษย์กับสิ่งเหนือธรรมชาติ
Article Details

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
References
Bunchua, K. (2003). Philosophy in Ordinary Language. Bangkok: St.John University press.
Chanchai, P., Sripattanachot, T. & Prapawong, W. (2023). Behavior and Belief Attitudes in Sacred Stone of Women in Bangkok. Santapol College Academic Journal, 9(2), 196-204.
Choowonglert, A. (2023). Communication in Rituals and Moral Orders of Me Mot in Tai Political Society in Vietnam. Journal of Journalism, Thammasat University, 16(1), 249-299.
Gadamer, H. G. (1976). Philosophical Hermeneutics. Berkeley, CA: University of California Press.
Jackson, P.A. (2023). Capitalism Magic Thailand: Modernity with Enchantment. Bangkok: Matichon Press.
Kumdee, D. (1991). Magic and Thai People. Suthiparithat Journal, 5(14), 110-116.
Phawakhunworakit, P. (2015). Superstitious and Buddhist Commercials in Thai Practical Buddhism: Case Studies of Temples in Nakhon Pathom Province. Journal of Buddhist Studies Chulalongkorn University, 21(2), 43-78.
Sanont, R., Thianthai, C. & Sathapong, K. (2017). Business Direction on Belief in Thailand 4.0. Romphruek Journal, Krirk University, 35(1), 11-32.
Sangkanjanavanich, V. (2006). Postmodern Philosophy. Bangkok: Chulalongkorn University.
Sariphan, A., Phrakrubhavanaphodhikun and Leeka, J. (2022). Analysis of Astrology Influencing on the Quality of Life of People in Khon Kaen Province. Dhammathas Academic Journal, 22(2), 113-123.
Suwanbundit, A. (2017). Philosophy of Psychology. Bangkok: Pispes Ltd Press.
Thongkamsamut, C. (2011). Scientific Essence in Chinese Feng Shui. Built Environment Inquiry Journal: Faculty of Architecture, Khon Kaen University, 10(1), 1-10.
Wongphut, T., Sungsuman, N. & Chaiwanichya, S. (2016). Shared Beliefs on Amulets in the Borderlands of Thailand, Laos and Cambodia. Journal of Liberal Arts, Ubon Ratchathani University, 12(1), 307-331.