แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของจังหวัดมหาสารคาม
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ของจังหวัดมหาสารคาม (2) ศึกษาปัจจัยความสำเร็จการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของจังหวัดมหาสารคาม (3) ศึกษาปัญหาอุปสรรคการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของจังหวัดมหาสารคาม (4) หาแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของจังหวัด รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 20 คน แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ตัวแทนภาคประชาชน จำนวน 5 ท่าน กลุ่มที่ 2 ตัวแทนภาคธุรกิจจำนวน 5 ท่าน กลุ่มที่ 3 ตัวแทนคณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 5 ท่านกลุ่มที่ 4 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ จำนวน 4 ท่าน และนักวิชาการด้านรัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 1 ท่าน รวม 5 ท่าน วิธีดำเนินการวิจัยมี 2 ขั้นตอนตามลำดับ คือ 1) การศึกษาเอกสาร 2) การสัมภาษณ์เชิงลึก การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการการจัดระเบียบข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
ผลการวิจัย พบว่า (1) การขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ของจังหวัดมหาสารคาม ในมิติ 6 ด้าน คือ ด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ ด้านการเดินทางและขนส่งอัจฉริยะ ด้านการดำรงชีวิตอัจฉริยะ ด้านพลเมืองอัจฉริยะ ด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ ด้านการบริหารภาครัฐอัจฉริยะ มีการขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กันทั้ง 6 ด้าน (2) ปัจจัยความสำเร็จการขับเคลื่อนนโยบายโดยใช้ชุมชนเป็นฐานในการพัฒนาและนำเทคโนโลยีเข้ามาเป็นหลักในการพัฒนาทำให้ชุมชนมีความตื่นตัวในการรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ (3) ปัญหาอุปสรรคการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ การพัฒนาเริ่มจากรัฐบาลจะต้องมีความจริงจังกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ การสนับสนุนด้านงบประมาณ ด้านการบริหาร และด้านกฎหมายให้มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถสร้างเมืองอัจฉริยะได้อย่างยั่งยืนและส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น (4) แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของจังหวัดมหาสารคาม คณะกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจังหวัดมหาสารคามควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่รับรู้ทั่วถึงเกี่ยวกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และประโยชน์ที่จะได้รับหลังจากที่จังหวัดมหาสารคาม ได้พัฒนาเป็นเมืองอัจฉริยะ
1*นักศึกษาปริญญาเอก ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
2-4คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความที่ปรากฏในวารสารฉบับนี้เป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน ไม่ถือว่าเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ
เอกสารอ้างอิง
ณัฏฐ์ณัชชา ไชยประเสริฐ. (2565). บทบาทท้องถิ่นกับการบริหารจัดการเมืองแบบ Smart City. วารสาร มจร.บาฬีศึกษาพุทธโฆสปริทรรศน์, 8(1), 71-84.
ธนาจุฑา กังสกุลนิติ. (2562). แนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทยในอนาคต. กรุงเทพฯ: สถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี.
พีรดร แก้วลาย. (2564). การพัฒนาบริการสาธารณะเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น ด้วยกระบวนการคิดเชิง ออกแบบ. กรุงเทพฯ; สถาบันพระปกเกล้า.
ภาฝัน จิตต์มิตรภาพ ฤๅเดช เกิดวิชัย พรกุล สุขสด และ ดวงกมล จันทรรัตน์มณี . (2565). ปัจจัยขับเคลื่อน ความสำเร็จในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะจังหวัดภูเก็ต .วารสารปัญญาภิวัฒน์, 14(1).118-202.
ภาสกร ประถมบุตร. (2563). แนวทางพัฒนาเมืองอัจฉริยะของไทย สู่ความเป็นเมืองน่าอยู่อย่างแท้จริง. [ออนไลน์] ค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2566, จาก: https://www.engineeringtoday. net/พัฒนาเมืองอัจฉริยะ -smart-city/
ศิริวัฒน์ เจนรังสรรค์ และ วิมลสิริ แสงกรด. (2562). การพัฒนาเทศบาลเมืองให้เป็นเมืองอัจฉริยะในพื้นที่
จังหวัด ขอนแก่น. ขอนแก่น : วิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
สถาบันพระปกเกล้า. (2563). รายงานสถานการณ์การกระจายอำนาจประจำปี พ.ศ. 2562 : บทสำรวจการ พัฒนาเมืองอัจฉริยะขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า.
สำนักงานเมืองอัจฉริยะประเทศไทย (สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล). (2564). นิยาม นโยบาย เป้าหมาย. [ออนไลน์] ค้นเมื่อ 1 ธันวาคม 2566, จาก: https://smartcitythailand.or.th/web? definition.
อรทัย ก๊กผล. (2559). Urbanization เมื่อ “เมือง” กลายเป็นโจทย์ของการบริหารจัดการท้องถิ่นสมัยใหม่. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า.
Glasmeier, A. & Christopherson, S. (2015). Thinking about Smart Cities. Cambridge Journal of Regions, Economy and Society, 8(1), 3–12.
Meijer, A., & Bolivar, M. P. R. (2016). Governing the smart city: a review of the literature on smart urban governance. International Review of Administrative Sciences, 82(2), 392-408.