การศึกษาความคุ้มค่าคุณค่าและเพิ่มพูนการท่องเที่ยวมิติใหม่พัฒนาศักยภาพ การท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก
Main Article Content
บทคัดย่อ
วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาสภาพบริบททั่วไป ปัญหาและอุปสรรคการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก 2. เพื่อศึกษารูปแบบเครือข่ายเส้นทางการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก 3. เพื่อนำเสนอรูปแบบการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ป่าสัก ผู้วิจัยได้ทำการศึกษา กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักท่องเที่ยวและผู้นำชุมชนในเขตพื้นที่ 6 จังหวัดภาคกลาง เครื่องมือในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบรายการตรวจสอบ (check lists) ข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นการสอบถามความคิดเห็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยววัดต่อการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธทั้งหมด 1,150 คน กลุ่มตัวอย่าง 764 คน สัมภาษณ์แบบเจาะจงเจ้าอาวาสหรือผู้แทนเจ้าอาวาส 23 รูปและผู้นำชุมชนทั้งสิ้น 60 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพรรณนาและสถิติอนุมาน วิเคราะห์เนื้อหาข้อมูลบรรยายเชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า
1) การวิเคราะห์ความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพและปัญหานักท่องเที่ยวผู้เดินทางมาเที่ยววัดเป็นประชากรจำนวนทั้งหมด 1,150 คน จากกลุ่มตัวอย่าง 764 คน ประกอบด้วย นักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ พบว่า ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมพุทธย้อนรอยประวัติศาสตร์ โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด (X=4.25) และผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณาการสัมภาษณ์เจ้าอาวาส พบว่า ปัจจัยทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการพัฒนาและฟื้นฟูมรดก เป็นการเสนอแนะให้แก่หน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น 2) ด้านรูปแบบการท่องเที่ยววัดจัดให้มีงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ให้ชุมชนและสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและต่อยอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสมบูรณ์ 3) ด้านมาตรการอำนวยความสะดวก ให้วัดจัดที่จอดรถ ป้ายชี้ทางบอก เส้นทางมาวัดและอำนวยต่อการเข้าจอดแก่นักท่องเที่ยว 4) ด้านความร่วมมือกับท้องถิ่น มีความร่วมมือหลายภาคส่วนในจังหวัดและหน่วยงานอื่น 5) ด้านการบริหารจัดการการท่องเที่ยววัด วัดมีการบริหารจัดการ ให้มีการจัดกิจกรรมร่วมบุญที่เกี่ยวข้องทางพระพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง เป็นต้น
2. แหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่เหมาะสมเกิดคุณค่าและเป็นแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมมี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ประวัติศาสตร์แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมไทยที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ 2) แหล่งวัฒนธรรมชุมชนเข้มแข็ง 3) ภูมิปัญญาและงานหัตถกรรมพื้นถิ่น 4) เชิดชูวีรกรรมนักรบผู้กล้าในอดีต 5) เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของชุมชนมอญ 6) ศรัทธาและบูชาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
3. รูปแบบการพัฒนาที่ได้สังเคราะห์เส้นทางท่องเที่ยวเป็น 6 เส้นทางหลักได้แก่ 1) เส้นทางย้อนรอยประวัติศาสตร์ราชธานีกรุงเก่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 2) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นวัด ภูมิปัญญาและงานหัตถกรรมพื้นถิ่น จังหวัดอ่างทอง 3) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธอิงประวัติศาสตร์ธรรมสถานวีรชนคนกล้า จังหวัดสิงห์บุรี 4) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธ ศิลปะและอาหารพื้นถิ่น วิถีชุมชนลุ่มน้ำเจ้าพระยาและวัดเก่าแก่คู่เมือง ขอพรหลวงปู่ศุข จังหวัดชัยนาท 5) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยววัฒนธรรมเชิงพุทธ โบราณสถาน โบราณวัตถุของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์และในอดีตราชธานีวัดคู่วัง ชุมชนมอญที่มีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น จังหวัดลพบุรี 6) เส้นทางเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเชิงพุทธบูชาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รอยพระพุทธบาทและเสริมสิริมงคลวัดพระพุทธฉาย วัดเขาแก้ววรวิหารและชุมชนไท-ยวนต้นตาล แหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรมเข้มแข็งของชุมชนพึ่งพาตนเอง จังหวัดสระบุรี
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กฤษณา รักษาโฉม, และคณะ. (2556). รูปแบบและกระบวนการจัดการท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: กระบวนการเปลี่ยนเส้นทางบุญสู่เส้นทางธรรม. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ สาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์,9(2), 83-97.
คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (2559). พิมพลักษณ์. พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
ฐิตาภา บำรุงศิลป์. (2559). รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์เพื่อการอนุรักษ์วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดศรีสะเกษ (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยพะเยา.
ธีระศักดิ์ อุ่นอารมณ์เลิศ. (2549). เครื่องมือวิจัยทางการศึกษา: การสร้างและการพัฒนา. นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
บุญเลิศ จิตตั้งวัฒนา. (2557). การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน: การวางแผนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (พิมพ์ครั้งที่ 2, ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ: ธรรมสาร.
ประวิทย์ เฮงพระธานี. (2561). การจัดการท่องเที่ยวเชิงพุทธของวัดในจังหวัดขอนแก่น (ดุษฎีนิพนธ์บัณฑิตวิทยาลัย). มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
ประภาวี วงษ์บุตรศรี และขวัญกมล ดอนขวา. (2556). การพัฒนาคุณภาพการท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (วิทยานิพนธ์บัณฑิตวิทยาลัย). มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี.
พระสนั่น เจริญยิ่ง. (2565). รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงพระพุทธศาสนาของวัดไร่ขิง (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศิลปากร.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). (2557). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม. พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
สำนักคณะกรรมการและเศรษฐกิจแห่งชาติ. (2561). คู่มือการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2561-2564. กรุงเทพฯ: สำนักคณะกรรมการและเศรษฐกิจแห่งชาติ.
อารีย์ นัยพินิจ และคณะ. (2556). การศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวเชิงศาสนาของวัดในกลุ่มจังหวัดร้อยแก่นสารสินธุ์. วารสารปัญญาภิวัฒน์, 5(1), 31–40.
Amadeus & Frost & Sullivan. (2016). Future traveller tribes 2030: Building a more rewarding journey. Retrieved September 5, 2016, from https://amadeus.com/documents/ en/blog/pdf/2015/07/amadeus-travellertribes-2030-airline-it.pdf
Kikeri, S., Nellis, J., & Shirley, M. (1992). Privatization: The lessons of experience. The World Bank.
Krejcie, R. V., & Morgan, D. W. (1989). Determining sample size for research activities. Educational and Psychological Measurement. New York: Grove Press.
TAT Intelligence Center. (2020). Tourism behavior survey of Thai and international tourists 2019 (Final Report). Bangkok: Ministry of Tourism and Sports.
Tourism Authority of Thailand. (2017). Annual report 2017. Bangkok: Tourism Authority of Thailand.