ผลของโปรแกรมการเรียนรู้แบบกำกับตนเองต่อความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยกึ่งทดลองในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1)เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเรียนรู้แบบกำกับตนเองต่อความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น 2)เพื่อเปรียบเทียบความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง 3)เพื่อเปรียบเทียบความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น หลังได้รับโปรแกรมการเรียนรู้แบบกำกับตนเองของกลุ่มที่ได้รับโปรแกรมและกลุ่มที่ได้รับการดูแลปกติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดชัยนาท ภาคการศึกษาที่ 2 ปีการศึกษา 2566 คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์คัดเข้า จำนวน 60 ราย ทั้งเพศหญิงและเพศชาย แล้วสุ่มอย่างง่ายเข้ากลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 ราย กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง ผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม ของ แบนดูร่า (Albert Bandura, 1986) ประกอบด้วย 8 กิจกรรม ดำเนินกิจกรรม 1 ครั้ง/สัปดาห์ ครั้งละ 90 นาที รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 8 สัปดาห์ มีการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือด้วยการนำไปทดลองใช้ (Tryout) กับกลุ่มที่ใกล้เคียงกลุ่มตัวอย่าง ได้ค่าความเชื่อมั่น (Reliability) 0.85 ส่วนกลุ่มควบคุมจะได้รับการดูแลตามปกติ ประเมินผลโดยใช้แบบประเมินความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจโดยใช้แบบวัด (Sensation Seeking Scale) (Zuckerman, 1979) ฉบับภาษาไทย วัดผล 2 ครั้ง คือ ก่อนการทดลอง และสิ้นสุดการทดลองทันที วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติทดสอบค่าที
ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้
1) ค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจของกลุ่มทดลองหลังได้รับโปรแกรมการการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง มีค่าเฉลี่ยคะแนน (M =76.40, SD =7.22) ต่ำกว่าก่อนการทดลอง (M =130.07, SD =20.44) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t =13.56, p < .001)
2) ผลต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจระหว่างก่อนและหลังการทดลองของกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง ( 1= 46.87, SD =20.18) แตกต่างจากกลุ่มควบคุม (
2=.06, SD = 3.13) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (t =15.17, p < .001)
สรุปได้ว่า โปรแกรมการการเรียนรู้แบบกำกับตนเอง มีประสิทธิผลทำให้การควบคุมความรู้สึกแสวงหา สิ่งตื่นเต้นเร้าใจของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ลดลงได้มากกว่าการได้รับการดูแลตามปกติ
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เอกสารอ้างอิง
กุลวดี อักษรทับ.(2544) การพัฒนาเกณฑ์ปกติของมาตรวัดความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจกับนักเรียนอายุ 12-18 ปีที่ศึกษาอยู่ในกรุงเทพมหานคร (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน. (2562). รายงานสถิติคดีประจำปีงบประมาณ 2562. กรุงเทพฯ: กองยุทธศาสตร์และแผนงาน.
กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข.(2562). รายงานประจำปีกรมสุขภาพจิต ปีงบประมาณ 2562. นนทบุรี: พรอสเพอรัสพลัส.
จิดาภา อุดมเมฆ และ รุจิรา ดวงสงค์. (2555). ผลของโปรแกรมอดบุหรี่ในผู้ป่วยที่มารับบริการคลินิกทันตกรรม โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. ศรีนครินทร์เวชสาร, 27(4), 379–385.
ชนาธิป สุนทรภักดิ์. (2559). ผลของการปรึกษากลุ่มโดยใช้ดนตรีบำบัดต่อเจตคติและพฤติกรรมก้าวร้าวของนักเรียน (วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยบูรพา.
ชญานิกา ศรีวิชัย, ภัทร์ภร อยู่สุข และ สาริณีย์ จินดาวุฒิพันธ์. (2560). ผลของโปรแกรมการกำกับตนเองของเด็กวัยรุ่นต่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ. วารสารพยาบาลทหารบก, 18(2), 110–118.
ธัญญาภรณ์ อุปมัยรัตน์. (2561). ผลของโปรแกรมการกำกับตนเองต่อทัศนคติการใช้ความรุนแรงและพฤติกรรมการควบคุมตนเองของนักเรียนวัยรุ่น (วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต).มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์.
นะฤเนตร จุฬากาญจน์, จารุวรรณ ไผ่ตระกูล และ สุนีย์ ละกำปั่น. (2558). การพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ในวัยรุ่นโดยประยุกต์หลักการคิดแบบพุทธธรรม. วารสารพยาบาลสาธารณสุข, 29(1), 143–153.
บุญใจ ศรีสถิตนรากูร. (2555). การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย: คุณสมบัติการวัดเชิงจิตวิทยา. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ประธาน รชตจำรูญ. (2544). ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้สึกแสวงหาสิ่งตื่นเต้นเร้าใจกับการติดสารแอมเฟตามีนของวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร. กรุงเทพฯ: สถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
พนม เกตุมาน, และคณะ. (2558). จิตเวช ศิริราช DSM-5 (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.
รัตนา ดงบัง. (2550). ผลของโปรแกรมการกำกับตนเองต่อการรับรู้สมรรถนะแห่งตนในการควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กวัยรุ่น (วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
วลัยกรณ์ แพร่กิจธรรมชัย. (2554). ผลของการปรับพฤติกรรมเพื่อลดความก้าวร้าวของวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง (วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
ศิริลักษณ์ ศรีกันต์. (2552). ผลของการใช้โปรแกรมการกำกับตนเองที่มีต่อความรับผิดชอบด้านการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
สุพิชชา วงค์จันทร์. (2557). อิทธิพลทางจิตสังคมและการกำกับตนเองที่มีต่อพฤติกรรมสุขภาพของผู้รับบริการที่มีภาวะอ้วนในเขตกรุงเทพมหานคร (วิทยานิพนธ์ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
Bandura, A. (1986). Social foundations of thought and action: A social cognitive theory. New Jersey: Prentice-Hall.
Collado, A., Felton, J. W., MacPherson, L., & Lejuez, C. W. (2014). Longitudinal trajectories of sensation seeking, risk taking propensity, and impulsivity across early to middle adolescence. Addictive Behaviors, 39(11), 1580–1588.
George, D., & Mallery, P. (2003). SPSS for Windows step by step: A simple guide and reference (4th ed.). Boston, MA: Pearson Allyn & Bacon.
Jessor, R. (1993). Successful adolescent development among youth in high-risk settings. American Psychologist, 48(2), 117–126.
Zuckerman, M. (1979). Sensation seeking: Beyond the optimal level of arousal. Hillsdale, NJ: Erlbaum.