สิทธิสตรีตามกฎหมายมรดกในคัมภีร์ธรรมศาสตร์
คำสำคัญ:
สิทธิสตรี, ทรัพย์สิน, มรดก, กฎหมายมรดก, ธรรมศาสตร์, women’s rights, property, inheritance, Law of Inheritance, Dharmaśāstraบทคัดย่อ
บทความนี้มุ่งศึกษาและเปรียบเทียบสิทธิสตรีตามกฎหมายมรดกในคัมภีร์ธรรมศาสตร์ 4 ฉบับ โดยแบ่งเป็น 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ สถานะในครอบครัว สิทธิ์ในการครอบครองทรัพย์สิน และสิทธิ์การรับมรดก ผลการศึกษาพบว่าสตรีมีสิทธิ์เปลี่ยนสถานะในครอบครัวได้ โดยที่ยังได้รับการดูแลจากบุรุษตลอดชีวิต มีสิทธิ์ได้ครอบครองทรัพย์สินส่วนตัวที่เรียกว่า “สตรีธนะ” ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่สตรีเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ครอบครอง และมีสิทธิ์ได้รับมรดกในกรณีที่ผู้ตายไม่มีบุตรโดยจะแบ่งสิทธิ์ตามสถานะของนาง ภรรยาจะได้รับมรดกของสามี ธิดาได้รับมรดกของบิดา และมารดาได้รับมรดกของบุตรชาย
Women’s Rights According to Law of Inheritance in the Dharmaśāstras
This article studies and compares women’s rights according to ancient Indian Law of Inheritance from four Dharmaśāstra texts. The study is divided into three main parts: women’s status in the family, women’s heritage property rights, and women’s inheritance rights. The study shows that, firstly, women’s status in the family can be changed but women are required to be under the protection of men in the family for their entire lifetime; secondly, women have the right to possess private property called strīdhana, which can be owned by women only; and, lastly, women have the right to inherit family property in cases where the deceased has no sons of his own, with a woman’s inheritance rights being depedent on her status in the family: a wife will inherit from her deceased husband, a daughter from her deceased father, or a mother from her own deceased son.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
การป้องกันปัญหาด้านลิขสิทธิ์และการคัดลอกผลงาน
ผู้เขียนบทความมีหน้าที่ในการขออนุญาตใช้วัสดุที่มีลิขสิทธิ์คุ้มครองจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้เขียนบทความมีความรับผิดชอบที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในการคัดลอกและทำสำเนาวัสดุที่มีลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด การคัดลอกข้อความและการกล่าวพาดพิงถึงเนื้อหาจากวัสดุตีพิมพ์อื่น ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มากำกับและระบุแหล่งที่มาให้ชัดเจนในส่วนบรรณานุกรม การคัดลอกข้อความหรือเนื้อหาจากแหล่งอื่นโดยไม่มีการอ้างอิงถือเป็นการละเมิดจริยธรรมทางวิชาการที่ร้ายแรง และเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีใด ๆ เกิดขึ้น ผู้เขียนบทความมีความรับผิดชอบทางกฎหมายแต่เพียงผู้เดียว