การวิเคราะห์ขีดความสามารถในการรองรับการท่องเที่ยวข้ามแดนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน: กรณีศึกษาจังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย และแขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบการประเมินขีดความสามารถในการรองรับ การท่องเที่ยวข้ามแดน กรณีศึกษาพื้นที่ชายแดนจังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย และแขวงจาปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แบบการประเมินดังกล่าวเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนการค้นหาดัชนีชี้วัดการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วยตัวชี้วัดทั้งหมด 14 ตัวชี้วัด แบ่งเป็น 3 ด้าน คือ 1) ด้านกายภาพ-สิ่งแวดล้อม 2) ด้านสังคม-วัฒนธรรม และ 3) ด้านเศรษฐกิจ-นโยบาย จากนั้นนามาวิเคราะห์ด้วยเทคนิค Weight Linear Combination โดยผลการวิเคราะห์พบว่า ขีดความสามารถการรองรับการท่องเที่ยวเฉลี่ยทุกพื้นที่ของทั้งจังหวัดอุบลราชธานีและแขวงจาปาสักมีขีดความสามารถในการรองรับได้อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง คิดเป็นร้อยละ 37.78 และร้อยละ 35.44 ตามลาดับ อย่างไรก็ตาม หากแยกพิจารณารายอาเภอของแต่ละจังหวัด พบว่า ความสามารถในการรองรับสูงสุดของจังหวัดอุบลราชธานี อยู่ที่อาเภอพิบูลมังสาหาร คิดเป็นร้อยละ 69.24 และต่าสุดอยู่ที่อาเภอน้าขุ่น คิดเป็นร้อยละ 18.69 ในขณะที่พื้นที่ที่มีขีดความสามารถในการรองรับการท่องเที่ยวสูงสุดของแขวงจาปาสัก อยู่ที่เมืองปากซอง คิดเป็นร้อยละ 55.31 และต่าสุดคือเมืองบางเจียงเจริญสุข คิดเป็นร้อยละ 7.26 นอกจากนี้ การศึกษาครั้งนี้ได้ศึกษาตัวชี้วัดที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาศักยภาพของการท่องเที่ยวข้ามแดนอย่างยั่งยืนด้วยการวิเคราะห์ทางสถิติแบบสหสัมพันธ์พหุคูณ พบว่า อัตราการเกิดใหม่ของอาชีพงานในพื้นที่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว การให้บริการจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และความหลากหลายของกิจกรรมการท่องเที่ยว มีความสาคัญต่อการเสริมศักยภาพขีดความสามารถในการรองรับการท่องเที่ยว และเป็นประโยชน์ต่อการเสนอแนวทางการวางแผนนโยบายด้านการท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุน การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
การป้องกันปัญหาด้านลิขสิทธิ์และการคัดลอกผลงาน
ผู้เขียนบทความมีหน้าที่ในการขออนุญาตใช้วัสดุที่มีลิขสิทธิ์คุ้มครองจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้เขียนบทความมีความรับผิดชอบที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในการคัดลอกและทำสำเนาวัสดุที่มีลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด การคัดลอกข้อความและการกล่าวพาดพิงถึงเนื้อหาจากวัสดุตีพิมพ์อื่น ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มากำกับและระบุแหล่งที่มาให้ชัดเจนในส่วนบรรณานุกรม การคัดลอกข้อความหรือเนื้อหาจากแหล่งอื่นโดยไม่มีการอ้างอิงถือเป็นการละเมิดจริยธรรมทางวิชาการที่ร้ายแรง และเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีใด ๆ เกิดขึ้น ผู้เขียนบทความมีความรับผิดชอบทางกฎหมายแต่เพียงผู้เดียว