พัฒนาการวรรณยุกต์กับการแบ่งกลุ่มย่อยภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้
คำสำคัญ:
ไทตะวันตกเฉียงใต้, การจัดกลุ่มย่อย, พัฒนาการวรรณยุกต์, นวัตกรรมร่วม, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, Southwestern Tai, subgrouping, tonal development, shared-innovation, Southeast Asiaบทคัดย่อ
บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินการใช้พัฒนาการวรรณยุกต์เป็นเกณฑ์การจัดกลุ่มย่อยภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ที่ผ่านมาในอดีต จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าข้อเสนอการจัดกลุ่มย่อยที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาภาษาในกลุ่มนี้มากที่สุด คือ ข้อเสนอของบราวน์ (Brown, 1965) และเชมเบอร์เลน (Chamberlain, 1975) ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ใช้การแยกเสียงและการรวมเสียงวรรณยุกต์เป็นเกณฑ์หลัก อย่างไรก็ตาม แนวทางดังกล่าวไม่เป็นไปตามวิธีการใช้นวัตกรรมร่วมเป็นเกณฑ์ในการจัดกลุ่มย่อย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงวรรณยุกต์จำนวนมากอาจไม่ใช่นวัตกรรมร่วม และการเปลี่ยนแปลงวรรณยุกต์ส่วนใหญ่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายหลัง ดังนั้น ข้อเสนอการจัดกลุ่มย่อยภาษาไทตะวันตกเฉียงใต้ที่เหมาะสมจึงควรพิจารณาเลือกใช้นวัตกรรมร่วมประเภทเสียงประเภทพยัญชนะและสระเป็นเกณฑ์หลักในการจัดกลุ่มย่อยในชั้นแรกๆ โดยต้องเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์ประกอบการเรียงลำดับลำดับการเกิดนวัตกรรมร่วมเหล่านั้น
Tonal Developments and Southwestern Tai Subgrouping
Pittayawat Pittayaporn
Lecturer, Department of Linguistics, Faculty of Arts, Chulalongkorn University
This article evaluates the use of tonal development as criteria for Southwestern Tai subgrouping. A literature review shows that Brown (1965) and Chamberlain (1975), the two most influential proposals, both use tonal splits and mergers as main criteria. However, this approach is not consistent with the shared-innovation method used in subgrouping, because many tonal changes may not in fact be shared innovations and because most tonal changes are relatively late developments. Therefore, a subgrouping proposal for Southwestern Tai should primarily use as criteria consonantal and vocalic changes that can be shown empirically to have occurred relatively early.
ดาวน์โหลด
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
สัญญาอนุญาต
การป้องกันปัญหาด้านลิขสิทธิ์และการคัดลอกผลงาน
ผู้เขียนบทความมีหน้าที่ในการขออนุญาตใช้วัสดุที่มีลิขสิทธิ์คุ้มครองจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้เขียนบทความมีความรับผิดชอบที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายในการคัดลอกและทำสำเนาวัสดุที่มีลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัด การคัดลอกข้อความและการกล่าวพาดพิงถึงเนื้อหาจากวัสดุตีพิมพ์อื่น ต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มากำกับและระบุแหล่งที่มาให้ชัดเจนในส่วนบรรณานุกรม การคัดลอกข้อความหรือเนื้อหาจากแหล่งอื่นโดยไม่มีการอ้างอิงถือเป็นการละเมิดจริยธรรมทางวิชาการที่ร้ายแรง และเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีใด ๆ เกิดขึ้น ผู้เขียนบทความมีความรับผิดชอบทางกฎหมายแต่เพียงผู้เดียว