การบริหารงานบุคคลของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษา นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิจิตร

ผู้แต่ง

  • ทินกร พูลพุฒ Faculty of Humanities and Social Sciences, Chaopraya University
  • ลือชัย ชูนาคา Independent Scholar
  • จิโรจ จิ๋วแหยม The Secondary Education Service Area Office Nakhonsawan
  • เครือวัลย์ ยรรยงค์ Master of Education Program in Educational Administration. Faculty of Humanities and Social Sciences, Chaopraya University

คำสำคัญ:

การบริหารงานบุคคล, การส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย

บทคัดย่อ

           บทความวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา และ 2) เปรียบเทียบการบริหารงานบุคคล ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดพิจิตร เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ ตามความคิดเห็นของครู และคณะกรรมการสถานศึกษา เมื่อจำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัย ได้มาจากการตอบแบบสอบถามของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูและคณะกรรมการสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดพิจิตร จากจำนวน 221 คน เครื่องมือการวิจัย เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (5 Rating Scales) มีค่าความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.60 – 1.00 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .989 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (x) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) การทดสอบความมีนัยสำคัญระหว่างค่าเฉลี่ยหรือการทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียว (F-test - One-way ANOVA)

           ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X=4.37) 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลของสถานศึกษา ตามความคิดเห็นของครูและคณะกรรมการสถานศึกษา เมื่อจำแนกตามเพศ พบว่า ด้านวินัยและการรักษาวินัย มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อจำแนกอายุพบว่า โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้าน ยกเว้นด้านออกจากราชการ  แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษาโดยภาพรวมและรายด้าน ไม่พบความแตกต่าง และเมื่อจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานพบว่าด้านวินัยและการรักษาวินัย มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2024-09-11

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย (Research article)