ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารกับสมรรถนะของครูในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงเรียนการกุศลของวัด ในพระพุทธศาสนา กลุ่มภาคเหนือ

ผู้แต่ง

  • พระครูปลัดเทิดพงษ์ เวียงธารา Master of Educational Administration, Graduate School, Chiang Rai College
  • อินทร์ จันทร์เจริญ Adviser in Educational Administration at Graduate School, Chiang Rai College.
  • วีรพันธุ์ ศิริฤทธิ์ Adviser in Educational Administration at Graduate School, Chiang Rai College. Corresponding author

คำสำคัญ:

การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล, สมรรถนะของครู

บทคัดย่อ

          บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร 2) สมรรถนะของครูในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารกับสมรรถนะของครูในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้บริหาร รองผู้บริหาร และครูผู้สอนของโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา กลุ่มภาคเหนือ จำนวน 291 คน ใช้วิธีสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถาม โดยมีค่าความเชื่อมั่นโดยภาพรวมเท่ากับ 0.941 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน

           ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 4.42 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.44 2) สมรรถนะของครูในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยภาพรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ย 4.41 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.40 โดยสมรรถนะประจำสายงานมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาด้านสมรรถนะส่วนบุคคล และด้านสมรรถนะหลัก และ 3) การบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ในทิศทางบวกกับสมรรถนะของครูในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ด้านสมรรถนะหลักในระดับสูง (r = .711) ส่วนด้านสมรรถนะประจำสายงาน ด้านสมรรถนะส่วนบุคคล และสมรรถนะโดยภาพรวม มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง (r = .702, .693, .709) อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.01

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2024-06-06

ฉบับ

ประเภทบทความ

บทความวิจัย (Research article)