https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/issue/feed วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) 2024-11-24T10:08:52+07:00 Wattana Prohmpetch wattana.ph@psu.ac.th Open Journal Systems <p><span style="font-weight: 400;"><strong>วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online)</strong> (เดิมคือ วารสารจิตวิทยาคลินิก, </span>ISSN<span style="font-weight: 400;">: 0125-1422)</span><span style="font-weight: 400;"> ตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ (มกราคม-เมษายน, พฤษภาคม-สิงหาคม, กันยายน-ธันวาคม) วารสารจิตวิทยาคลินิกไทยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการทางจิตวิทยาคลินิก จิตบำบัด การวัดการทดสอบทางจิตวิทยาที่มีองค์ความรู้ใหม่ๆและเกี่ยวข้องกับสหวิทยาการอื่นๆ เช่น จิตวิทยาสาขาอื่น ๆ จิตเวชศาสตร์ ประสาทจิตวิทยา นิติจิตวิทยา และศาสตร์อื่นๆที่ใกล้เคียงกัน </span><span style="font-weight: 400;">โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือนักจิตวิทยาคลินิก นักจิตวิทยา แพทย์ พยาบาล สหวิชาชีพ คณาจารย์ นักศึกษา นักวิชาการและนักวิจัย ซึ่งบทความทุกเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ และผ่านการพิจารณาความถูกต้องทางวิชาการ (Peer reviewed) จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewer) ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง 3 ท่าน โดยการประเมินเป็นแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้ประเมินและผู้เขียนบทความ (Double - blind peer review)</span></p> <p><strong>วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online)</strong></p> <p><span style="font-weight: 400;"> ISSN : 2774-1087 (Online)</span></p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/278808 ประสบการณ์ทางจิตใจของวัยรุ่นหญิงที่เคยถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รัก: การศึกษาเชิงคุณภาพ 2024-06-20T15:36:15+07:00 ชนิศา วุฒิโชติวรกิจ chanisa.vu@gmail.com ณัฐสุดา เต้พันธ์ nattasuda.t@chula.ac.th <p style="font-weight: 400;"><strong>วัตถุประสงค์ </strong>เพื่อศึกษาประสบการณ์ทางจิตใจของวัยรุ่นหญิงที่เคยถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รัก<strong>วัสดุและวิธีการ</strong> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพแนวปรากฏการณ์วิทยาเชิงตีความ (IPA) มีการเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง มีผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 6 คน เป็นวัยรุ่นเพศหญิง อายุ 20-24 ปี ที่เคยถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รักเพศชาย วิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอนผ่านการบันทึกประเด็นสำคัญ ระบุใจความสำคัญ (theme) และจัดหมวดหมู่ใจความสำคัญของข้อมูล มีการตรวจสอบความถูกต้องของการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการ peer debriefing <strong>ผลการศึกษา </strong>พบ 4 ประเด็นหลักดังนี้ 1) ประสบการณ์ความรุนแรงที่เผชิญในความสัมพันธ์ ประกอบด้วย ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดความรุนแรง และรูปแบบของความรุนแรง 2) การตัดสินใจเมื่อเจอความรุนแรงในความสัมพันธ์ ประกอบด้วย ตัดสินใจอยู่ต่อในความสัมพันธ์ และตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ 3) ผลกระทบจากการได้รับความรุนแรงในความสัมพันธ์ ประกอบด้วย ผลกระทบขณะอยู่ในความสัมพันธ์ และผลกระทบหลังจากยุติความสัมพันธ์ และ 4) สิ่งที่ได้เรียนรู้หลังจากยุติความสัมพันธ์ ประกอบด้วย แนวทางการข้ามผ่านประสบการณ์ที่เกิดขึ้น และการป้องกันตัวเองจากความสัมพันธ์ที่มีการใช้ความรุนแรง <strong>สรุป</strong> การวิจัยนี้ช่วยให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับประสบการณ์ทางจิตใจของวัยรุ่นหญิงที่เคยถูกกระทำความรุนแรงจากคู่รัก ทั้งระหว่างที่อยู่ในความสัมพันธ์ ขณะยุติความสัมพันธ์ และหลังจากยุติความสัมพันธ์แล้ว โดยสามารถนำผลการวิจัยไปพัฒนาการสนับสนุนและช่วยเหลือทางจิตใจให้แก่วัยรุ่นในกลุ่มนี้ เพื่อให้เกิดการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ</p> 2024-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/279309 การศึกษาแนวทางจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัลและสุขภาวะทางจิตสำหรับวัยรุ่นตอนต้น 2024-07-14T18:44:22+07:00 พิศุทธิภา เมธีกุล pisutthipa.m@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>เพื่อศึกษาแนวทางในการส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัลและสุขภาวะทางจิตสำหรับวัยรุ่นตอนต้น <strong>วัสดุและวิธีการ </strong>การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วย อาจารย์ผู้สอนในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ศึกษานิเทศก์สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา อาจารย์ผู้สอนในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวนทั้งสิ้น 16 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้คือ แนวคำถามสำหรับการสัมภาษณ์และเครื่องบันทึกเสียง และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา <strong>ผลการศึกษา </strong>จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบประเด็นหลักและประเด็นย่อย ประกอบด้วย 1) เนื้อหาสำหรับกิจกรรมส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัลสำหรับวัยรุ่นตอนต้น ได้แก่ 1.1) ความสามารถในการใช้งาน 1.2) ความรับผิดชอบ 1.3) การคิดวิจารณญาณ 1.4) การใช้งานอย่างปลอดภัย และ 1.5) การสื่อสารอย่างเหมาะสม 2) เนื้อหาสำหรับกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะทางจิตสำหรับวัยรุ่นตอนต้น ได้แก่ 2.1) การรู้จักและยอมรับตนเอง 2.2) การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง และ 2.3) การเห็นคุณค่าในตนเอง 3) การออกแบบกิจกรรมที่เหมาะกับวัยรุ่นตอนต้น ได้แก่ 3.1) กิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติ 3.2) เนื้อหาและสื่อประกอบกิจกรรมที่ตรงกับความสนใจ 3.3) มีการเสริมแรงอย่างเหมาะสม และ 3.4) ระยะเวลาเหมาะสม <strong>สรุป</strong> การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการรู้เท่าทันดิจิทัลและสุขภาวะทางจิต ควรกำหนดเนื้อหาที่ส่งเสริมศักยภาพในการใช้เทคโนโลยี ควบคู่กับการสนับสนุนให้รู้จักตนและยอมรับตนเอง การปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงและการเห็นคุณค่าในตนเอง มีรูปแบบกิจกรรมและกระบวนการที่สอดคล้องกับความสนใจของวัยรุ่นตอนต้น ผลการศึกษาเป็นแนวทางสำหรับนักจิตวิทยาและผู้ที่ทำงานกับวัยรุ่นตอนต้นในการสร้างกิจกรรมฝึกอบรมต่อไป</p> 2024-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/279281 ผลของการใช้โปรแกรมจิตวิทยาเชิงบวกและการปรับพฤติกรรมต่อภาวะสุขภาพจิตของผู้ปกครองและพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้น 2024-07-04T09:46:24+07:00 ศศิภา พิมพารักษ์ sugareyes012@gmail.com ศรัล ขุนวิทยา sarun.kun@mahidol.edu กันนิกา เพิ่มพูนพัฒนา Kannika.per@mahidol.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมจิตวิทยาเชิงบวกและการปรับพฤติกรรมสำหรับผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้นต่อภาวะสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตผู้ปกครอง และพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้น <strong>วัสดุและวิธีการ</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลองรูปแบบวัดก่อนและหลังโดยมีกลุ่มควบคุม กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ปกครองเด็กโรคสมาธิสั้น โรงพยาบาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า จำนวน 30 คน โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง แบ่งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 15 คน กลุ่มทดลองได้รับการดูแลในกิจกรรมปกติของโรงพยาบาลและโปรแกรมจิตวิทยาเชิงบวกและการปรับพฤติกรรมสำหรับผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้น ส่วนกลุ่มควบคุมจะได้รับการดูแลในกิจกรรมปกติของโรงพยาบาล เครื่องมือในการวิจัยคือ (1) โปรแกรมจิตวิทยาเชิงบวกและการปรับพฤติกรรมสำหรับผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้น ซึ่งพัฒนาตามแนวคิดจิตวิทยาเชิงบวกและ การปรับพฤติกรรม จำนวน 10 ครั้ง/สัปดาห์ ๆ ละ 60-90 นาที (2) แบบสอบถามส่วนบุคคล (3) แบบประเมินภาวะสุขภาพจิต (4) แบบประเมินคุณภาพชีวิตของผู้ปกครอง (5) แบบประเมินพฤติกรรมเด็กสมาธิสั้น <strong>ผลการศึกษา</strong> พบว่าผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้นกลุ่มทดลองมีคะแนนภาวะสุขภาพจิตหลังเข้าร่วมโปรแกรมลดลงทุกด้าน คือ ซึมเศร้า (<em>p</em> = .012) วิตกกังวล (<em>p</em> = .002) และเครียด (<em>p</em> = .002) มีคะแนนคุณภาพชีวิตดีขึ้น ด้านจิตใจ (<em>p</em> = 0.001) ด้านสิ่งแวดล้อม (<em>p</em> = 0.027) และมีคะแนนพฤติกรรมเด็กสมาธิในกลุ่มทดลองลดลงในทุกด้าน คือ ขาดสมาธิ (<em>p</em> = 0.001) พฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง/ หุนหันพลันแล่น (<em>p</em> = 0.001) และ พฤติกรรมดื้อต่อต้าน (<em>p</em> = 0.02) <strong>สรุป</strong> การศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมจิตวิทยาเชิงบวกและการปรับพฤติกรรมสำหรับผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้น มีประโยชน์ต่อผู้ปกครองเด็กสมาธิสั้นและส่งผลถึงการลดปัญหาพฤติกรรมในเด็กสมาธิสั้นได้</p> 2024-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/278145 การศึกษาประสิทธิผลของชุดกิจกรรมฝึกกระตุ้นความสามารถของสมองโดยใช้คอมพิวเตอร์ 2024-07-03T23:32:20+07:00 จิตรจิรา ฤทธิกุลสิทธิชัย rchitjira@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาประสิทธิผลของชุดกิจกรรมฝึกกระตุ้นความสามารถของสมองโดยใช้คอมพิวเตอร์ (CTS-C) สำหรับผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป <strong>วัสดุและวิธีการ</strong><strong>: </strong>การศึกษานี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างมีอายุ 50 ปีขึ้นไป แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 17 คน กลุ่มทดลองได้รับกิจกรรม CTS-C สำหรับฝึกที่บ้าน ส่วนกลุ่มควบคุมได้รับคำแนะนำการฝึกความสามารถสมอง ทั้งสองกลุ่มมีการประเมินความสามารถของสมองก่อนและหลังทดลองด้วย The Montreal cognitive assessment - Thai version วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ Wilcoxon signed rank test และ Mann-Whitney U test<strong> ผล:</strong> หลังทดลองพบว่า คะแนนความสามารถของสมองในกลุ่มควบคุมไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนกลุ่มทดลองมีคะแนนความสามารถของสมองโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .001 (effect size = 0.96) โดยมีคะแนนด้าน executive, language และ memory เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 (effect size = 0.60, 0.72, 0.62) และกลุ่มทดลองมีคะแนนความสามารถของสมองโดยรวม และ language มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .001 (effect size = 0.71, 0.67) โดยคะแนนด้าน executive function, visuospatial และ memory มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 (effect size = 0.42, 0.47, 0.40) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> CTS-C ให้ประสิทธิผลในการเพิ่มความสามารถของสมองโดยรวม ด้าน executive function, language และ memory มีความเหมาะสมและสะดวกในการฝึกกระตุ้นความสามารถของสมองด้วยตนเองสำหรับผู้ที่อายุ 50 ปีขึ้นไปที่สามารถใช้คอมพิวเตอร์และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการฝึกกระตุ้นป้องกันสมองเสื่อม แต่อย่างไรก็ตาม CTS-C ยังต้องปรับปรุงพัฒนา นำไปศึกษากับกลุ่มและรูปแบบอื่นเพื่อประสิทธิผลที่ดีและประโยชน์ที่กว้างขวาง</p> 2024-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/280862 การพัฒนาแบบสังเกตการกลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยโรคจิตเภท 2024-08-19T11:13:05+07:00 วีร์ เมฆวิลัย weepositive7@gmail.com ธนเนตร ฉันทลักษณ์วงศ์ ahb.dmh87@gmail.com ณิชาภา รัตนจันทร์ nan.rattanajan@gmail.com บุรินทร์ สุรอรุณสัมฤทธิ์ burinsura@hotmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>เพื่อพัฒนาและทดสอบคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาของแบบประเมินความเสี่ยงการกลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยโรคจิตเภท (Schizophrenia Relapse Risk Assessment<strong>: </strong>SRRA) <strong>วัสดุและวิธีการ</strong> แบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ 1) สร้างข้อคำถามเพื่อศึกษาความตรงเชิงเนื้อหาและความเข้าใจทางภาษา และ 2) ทดสอบคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาเทียบกับแบบประเมินอาการทางบวกและทางลบในผู้ป่วยจิตเภทชุด Positive and Negative Syndrome Scale (PANSS) กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่ในโรงพยาบาลจิตเวช 2 แห่ง 184 คน เพื่อวิเคราะห์หาคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาจากความตรงเชิงเนื้อหาโดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง ความเที่ยงแบบความสอดคล้องภายใน (internal consistency) โดยใช้ Kuder-Richardson Formula 21 (KR-21) ความตรงเชิงโครงสร้างด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบและความตรงร่วมสมัยโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน <strong>ผลการศึกษา </strong>พบว่า SRRA แบ่งเป็น 3 องค์ประกอบ คือ การปฏิเสธและไม่ร่วมมือ 3 ข้อ อาการทางจิตและพฤติกรรมขาดการควบคุม 5 ข้อ และ ความกลัวที่ไม่เหมาะสม 2 ข้อ รวมจำนวน 10 ข้อ สามารถอธิบายความแปรปรวนของเครื่องมือในภาพรวมได้ 46.30% โดยมีความตรงเชิงเนื้อหาสูงมาก (item-content validity index: I-CVI=1) มีความเที่ยงอยู่ในระดับดี (KR-21= 0.75) มีความความสัมพันธ์ทางบวกค่อนข้างสูงกับ PANSS (r = 0.75, <em>p</em> = 0.04) <strong>สรุป</strong> แบบประมินความเสี่ยงการกลับเป็นซ้ำในผู้ป่วยโรคจิตเภท (SRRA) มีคุณสมบัติการวัดทางจิตวิทยาในด้านความตรงและความเที่ยงอยู่ในระดับสูง สามารถนำไปใช้ในการประเมินการกลับเป็นซ้ำโรคจิตเภทได้</p> 2024-11-24T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/282578 ประสบการณ์ทางจิตใจของนักจิตวิทยาการปรึกษาที่ให้บริการแก่วัยรุ่นในบริบทโรงเรียน 2024-10-24T20:57:22+07:00 สุดารัตน์ โมสิกะ ttsudarat0556@gmail.com พูลทรัพย์ อารีกิจ poonsubareekit@gmail.com ณัฐสุดา เต้พันธ์ Nattasuda.t@chula.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์ </strong>เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจประสบการณ์การทำงานรวมถึงกระบวนการภายในจิตใจที่เกิดขึ้นในการทำงานของนักจิตวิทยาการปรึกษาที่ให้บริการแก่วัยรุ่นในบริบทโรงเรียน <strong>วัสดุและวิธีการ </strong>การวิจัยครั้งนี้มีผู้ให้ข้อมูลจำนวน 6 ราย ผู้ให้ข้อมูลทั้งหมดเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษาที่ให้บริการแก่วัยรุ่นในบริบทโรงเรียน เก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึกด้วยคำถามแบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีวิจัยเชิงคุณภาพแนวปรากฏการณ์วิทยาเชิงตีความ (interpretative phenomenology analysis; IPA)<strong> ผล </strong>ผลการวิจัยพบแก่นสาระของประสบการณ์ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ (1) บทบาทของนักจิตวิทยาการปรึกษาในบริบทโรงเรียน ครอบคลุมบทบาทเชิงรับ บทบาทเชิงรุก และบทบาทการเป็นครู (2) ความท้าทายของนักจิตวิทยาการปรึกษาในบริบทโรงเรียน ได้แก่ ความท้าทายด้านการทำงานและความท้าทายด้านอารมณ์ของนักจิตวิทยาการปรึกษาในบริบทโรงเรียน (3) กระบวนการภายในจิตใจและสิ่งที่สนับสนุนการทำงานของนักจิตวิทยาการปรึกษาในบริบทโรงเรียน ครอบคลุมการกลับมาเชื่อมโยงกับตัวเอง การยอมรับและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ภายนอก และการได้รับกำลังใจจากคนรอบข้าง (4) การเปลี่ยนแปลงภายในต่อตนเองและวิชาชีพ ได้แก่ การเกิดความรู้สึกเชิงบวกต่อตนเอง <strong>สรุป</strong> ข้อค้นพบจากการศึกษานี้ช่วยให้เข้าใจบทบาทของนักจิตวิทยาการปรึกษาในโรงเรียน ความท้าทายที่ต้องเผชิญในฐานะนักจิตวิทยาการปรึกษา กระบวนการภายในจิตใจและสิ่งที่สนับสนุนการทำงานรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่มีต่อการทำงานในอาชีพนักจิตวิทยาการปรึกษา เพื่อช่วยให้มีวิธีการในการรับมือกับความท้าทายและมองเห็นปัจจัยที่ช่วยเอื้อในการทำงานของตนเองได้ ซึ่งสามารถนำมาเป็นแนวทางในการสนับสนุนการทำงานของนักจิตวิทยาการปรึกษาที่ให้บริการแก่วัยรุ่นในบริบทโรงเรียน</p> 2024-12-08T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online)