https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/issue/feed วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) 2025-11-01T14:38:51+07:00 Manika Wisessathorn wisessathorn@gmail.com Open Journal Systems <p><span style="font-weight: 400;"><strong>วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online)</strong> (เดิมคือ วารสารจิตวิทยาคลินิก, </span>ISSN<span style="font-weight: 400;">: 0125-1422)</span><span style="font-weight: 400;"> ตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ (มกราคม-เมษายน, พฤษภาคม-สิงหาคม, กันยายน-ธันวาคม) วารสารจิตวิทยาคลินิกไทยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานวิชาการทางจิตวิทยาคลินิก จิตบำบัด การวัดการทดสอบทางจิตวิทยาที่มีองค์ความรู้ใหม่ๆและเกี่ยวข้องกับสหวิทยาการอื่นๆ เช่น จิตวิทยาสาขาอื่น ๆ จิตเวชศาสตร์ ประสาทจิตวิทยา นิติจิตวิทยา และศาสตร์อื่นๆที่ใกล้เคียงกัน </span><span style="font-weight: 400;">โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือนักจิตวิทยาคลินิก นักจิตวิทยา แพทย์ พยาบาล สหวิชาชีพ คณาจารย์ นักศึกษา นักวิชาการและนักวิจัย ซึ่งบทความทุกเรื่องที่ได้รับการตีพิมพ์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการ และผ่านการพิจารณาความถูกต้องทางวิชาการ (Peer reviewed) จากผู้ทรงคุณวุฒิ (Reviewer) ในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง 3 ท่าน โดยการประเมินเป็นแบบปกปิดรายชื่อทั้งผู้ประเมินและผู้เขียนบทความ (Double - blind peer review)</span></p> <p><strong>วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online)</strong></p> <p><span style="font-weight: 400;"> ISSN : 2774-1087 (Online)</span></p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/287919 แนวทางการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและสารเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรงจังหวัดภูเก็ต 2025-04-07T11:01:18+07:00 ภาสกร คุ้มศิริ passakorn.koomsiri@gmail.com เจรติย์ วุฒิชาญ Passakorn.koomsiri@gmail.com ทยากร คันธิวิวรณ์ Passakorn.koomsiri@gmail.com <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมและนำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและผู้ใช้สารเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง โดยมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้แนวคิดทฤษฎีจิตวิทยาและแนวทางการดำเนินงานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เนื้อหาในบทความได้สังเคราะห์ข้อมูลเชิงวิชาการและประสบการณ์ภาคปฏิบัติ เพื่อนำเสนอเป็นข้อสรุปในสองประเด็นหลัก ได้แก่ (1) นำเสนอความรู้ที่เกี่ยวกับผู้ป่วยจิตเวชและสารเสพติดที่มีความเสี่ยงสูงต่อการก่อความรุนแรง และ (2) เสนอแนะมาตรการเชิงปฏิบัติในการดูแลผู้ป่วยดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ข้อสรุปจากองค์ความรู้ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยการบูรณาการของทีมสหวิชาชีพ รวมถึงการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างความตระหนัก ความรู้ความเข้าใจ และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในระบบการเฝ้าระวัง การติดตามกำกับ และการให้การดูแลในสถานการณ์วิกฤตด้านสุขภาพจิต นอกจากนี้ การมีช่องทางการสื่อสารและการประสานงานที่ชัดเจนระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังเป็นองค์ประกอบที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมประสิทธิภาพของระบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชและผู้ใช้สารเสพติดกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวอย่างยั่งยืน</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> แนวทางการดูแล, จังหวัดภูเก็ต, ผู้ป่วยจิตเวชและสารเสพติดที่มีความเสี่ยงสูง, ความรุนแรง</p> <p><em> </em></p> 2025-11-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/289349 ภาพเหมารวมทางเพศ: ความท้าทายทางสุขภาพจิตของกลุ่มคนเพศหลากหลายภายหลังการประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทย 2025-05-27T14:32:51+07:00 ธนวัฒน์ สุวรรณ มณี thanawat.m@cmu.ac.th <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>ในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ.2567 หรือ “กฎหมายสมรสเท่าเทียม” อย่างเป็นทางการและมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กลุ่ม LGBTQ+ ยังคงต้องเผชิญกับปัญหาการถูกเลือกปฏิบัติและการตีตราทางเพศอย่างมีอคติ อันเกิดจากภาพเหมารวมทางเพศซึ่งอาจมาจากการนำเสนอของสื่อที่มักนำเสนอภาพข่าวของกลุ่ม LGBTQ+ ในเชิงลบ ส่งผลให้คนในสังคมมีความเชื่อและทัศนคติที่คลาดเคลื่อนและเหมารวมว่ากลุ่ม LGBTQ+ มักมีพฤติกรรมไปในเชิงลบ นอกจากนี้ กลุ่ม LGBTQ+ ยังต้องเผชิญปัญหาการสร้างภาพเหมารวมและแบ่งช่วงชั้นภายในกลุ่ม LGBTQ+ ด้วยกันเอง ส่งผลให้กลุ่ม LGBTQ+ ต้องเผชิญกับความเครียด ความรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยว ภาวะวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และการเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ ฯลฯ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและรวบรวมข้อมูลในประเด็นของภาพเหมารวมทางเพศ โดยผู้นิพนธ์มุ่งหวังให้บทความนี้สามารถที่จะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ที่มีความสนใจหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการดูแลกลุ่ม LGBTQ+ นำข้อมูลไปใช้ในการทำความเข้าใจ ลดอคติทางเพศอันเกิดจากภาพเหมารวมทางเพศที่มีต่อกลุ่ม LGBTQ+ และเป็นแนวทางในการวางแผนลดปัญหาภาพเหมารวมทางเพศในสังคม ตลอดจนการดูแลสุขภาวะของกลุ่ม LGBTQ+ อย่างเข้าใจ เคารพในความแตกต่างและสิทธิของความเป็นมนุษย์ เพื่อส่งเสริมให้กลุ่ม LGBTQ+ มีสุขภาพที่ดีทั้งกายและใจ และสามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพสูงสุด</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> กลุ่มคนเพศหลากหลาย, ภาพเหมารวมทางเพศ, สุขภาพจิต</p> 2025-11-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/288423 การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อความร่วมมือของผู้ปกครองในการรักษาเด็กออทิสติก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020-2024 2025-05-06T16:47:55+07:00 ชนนิกานต์ ส. ประภวานนท์ fonncsp@gmail.com <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อทบทวนและสังเคราะห์หลักฐานเชิงประจักษ์เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความร่วมมือของผู้ปกครองในการรักษาเด็กออทิสติก</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong> การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความร่วมมือของผู้ปกครองในการรักษาเด็กออทิสติกที่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020-2024 จากฐานข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต 8 แห่ง ได้แก่ 1) AccessMedicine 2) Cambridge Core 3) CEIC 4) EBSCO 5) Emerald 6) McGraw-Hill 7) Scopus และ 8) Wiley โดยสืบค้นตามแนวทาง PICo และกำหนดค่าในการค้นหาแบบ Boolean จากนั้นคัดเลือกบทความซ้ำออก พิจารณาตามเกณฑ์คัดเข้า-ออก ประเมินคุณภาพบทความด้วย The Critical Appraisal Skills Programme และสกัดข้อมูลด้วยการสังเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> งานวิจัยที่ผ่านการคัดเลือกมีจำนวน 18 บทความ สกัดข้อมูลพบ 3 ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความร่วมมือของผู้ปกครองคือ 1) ปัจจัยด้านผู้ปกครอง พบว่าสุขภาพจิตของผู้ปกครองมีผลกระทบต่อความร่วมมือในการรักษา โดยผู้ปกครองที่มีสุขภาพจิตดี มีทักษะการจัดการกับอารมณ์ ทักษะการจัดการปัญหา และมีความยืดหยุ่นทางจิตใจจะมีส่วนร่วมในการรักษา ทำให้การรักษามีประสิทธิภาพ ขณะที่ความเครียดและความวิตกกังวลทำให้ความร่วมมือในการรักษาลดลง 2) ปัจจัยด้านครอบครัว ผู้ปกครองที่มาจากครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ดี และมีความมั่นคงทางเศรษฐานะมักจะให้ความร่วมมือในการรักษา การวินิจฉัยและการเข้าไปส่งเสริมความร่วมมือในผู้ปกครองตั้งแต่ระยะเริ่มแรกจะทำให้เกิดการร่วมมือรักษาต่อเนื่อง และ 3) ปัจจัยทางสังคม การสนับสนุนทางสังคมแก่ผู้ปกครองและเด็กช่วยเสริมสร้างความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน บริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพทำให้ผู้ปกครองมีความเชื่อมั่นในการรักษา สัมพันธภาพระหว่างผู้บำบัดส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของผู้ปกครอง และโปรแกรมสนับสนุนทำให้ผู้ปกครองเกิดความร่วมมือในการรักษามากยิ่งขึ้น</p> <p><strong>สรุป </strong>ปัจจัยด้านผู้ปกครอง ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยทางสังคมประกอบกันทำให้เกิดความร่วมมือของผู้ปกครองในการรักษาเด็กออทิสติก</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> เด็กออทิสติก, การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ, ความร่วมมือของผู้ปกครอง, การรักษา</p> 2025-11-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/289278 ผลของการปรึกษารายบุคคลตามทฤษฎีเผชิญความจริงต่อพลังสุขภาพจิตและความเครียดของผู้ป่วยยาเสพติดในระยะถอนพิษยา 2025-05-16T11:19:35+07:00 ฟัลซานา อับดุลรอมัน preenapa.c@psu.ac.th ปรีนาภา ชูรัตน์ preenapa.c@psu.ac.th สรินฎา ปุติ preenapa.c@psu.ac.th <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> (1) ศึกษาผลของการให้การปรึกษารายบุคคลตามทฤษฎีเผชิญความจริงต่อพลังสุขภาพจิตและระดับความเครียดของผู้ป่วยยาเสพติดระยะถอนพิษยา (2) วิเคราะห์ลักษณะปัญหา ความต้องการพื้นฐาน การวางแผนเปลี่ยนพฤติกรรม การรับรู้การเปลี่ยนแปลงด้านพลังสุขภาพจิต และการจัดการความเครียดภายหลังรับการปรึกษา</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong> การวิจัยเชิงผสมผสานแบบรองรับภายใน โดยใช้กลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง จำนวน 10 ราย ที่มีคะแนนความเครียดเกิน 41 คะแนน เข้าร่วมการให้คำปรึกษา 10 ครั้ง (ครั้งละ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง) ใช้แบบวัดพลังสุขภาพจิตและแบบวัดความเครียด (ค่าความเชื่อมั่น α = .98 และ .90) พร้อมข้อมูลจากแบบฟอร์มรับเข้า บันทึกการให้คำปรึกษา และบันทึกสะท้อน วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วย Wilcoxon Signed-Rank Test และเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> หลังรับการปรึกษาระดับพลังสุขภาพจิตของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น และความเครียดลดลงอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติ (<em>p &lt; .</em>01) ผลการวิเคราะห์เชิงคุณภาพแสดงให้เห็นถึงประเด็นหลัก ได้แก่ การต่อต้านการบำบัด ความสัมพันธ์ในครอบครัว พฤติกรรมอารมณ์และความเชื่อ ความต้องการพื้นฐาน ได้แก่ ความรัก อำนาจ และการอยู่รอด ผู้ป่วยทุกคนวางแผนลดหรือเลิกยาเสพติด รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงด้านพลังสุขภาพจิต และโดยใช้เทคนิคการผ่อนคลายเป็นเครื่องมือในการจัดการความเครียด</p> <p><strong>สรุป</strong> การปรึกษารายบุคคลตามทฤษฎีเผชิญความจริงช่วยเสริมสร้างพลังสุขภาพจิตและลดความเครียดในผู้ป่วยยาเสพติดระยะถอนพิษยา ควรศึกษาต่อโดยเปรียบเทียบกับวิธีบำบัดอื่นในกลุ่มประชากรที่หลากหลาย เพื่อพัฒนาวิธีที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ผู้ป่วยยาเสพติดระยะถอนพิษยา, การปรึกษารายบุคคล, ทฤษฎีเผชิญความจริง, พลังสุขภาพจิต, ความเครียด</p> 2025-11-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/289330 การพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานการประเมินปัญหาพฤติกรรมเด็กและวัยรุ่นให้เหมาะสมกับบริบทไทย: วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ชุดแบบสำรวจพฤติกรรมเด็ก อายุ 6-18 ปี 2025-05-20T14:17:52+07:00 รัตนศักดิ์ สันติธาดากุล santitadakul@gmail.com วิมลวรรณ ปัญญาว่อง santitadakul@gmail.com <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (confirmatory factor analysis) ของชุดแบบสำรวจพฤติกรรมเด็ก (Thai Youth Checklist) ทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ ฉบับผู้ปกครอง ครู และฉบับเด็กและวัยรุ่น</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong> ทดสอบคุณภาพด้านความตรงเชิงโครงสร้างด้วยวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องข้อมูลเชิงประจักษ์กับโครงสร้างองค์ประกอบฉบับภาษาไทย กลุ่มตัวอย่าง อายุระหว่าง 6-18 ปี จำนวน 1,609 ราย วิธีที่ใช้ประมาณค่าพารามิเตอร์คือ (robust weight least square mean and variance adjusted chi square: WLSMV)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> พบว่า โครงสร้างองค์ประกอบชุดสำรวจพฤติกรรมเด็ก มีองค์ประกอบของกลุ่มอาการ 8 กลุ่ม แบบสำรวจพฤติกรรมเด็กทั้ง 3 ฉบับมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ผ่านเกณฑ์ต่าง ๆ ในระดับดี โดยค่า SRMR อยู่ในช่วง 0.066-0.067 ค่า RMSEA อยู่ในช่วง 0.023-0.026 ค่า CFI อยู่ในช่วง 0.950-0.952 และค่า TLI อยู่ในช่วง 0.946-0.950 ข้อคำถามมีค่ามัธยฐานน้ำหนักองค์ประกอบ อยู่ในช่วง 0.551-0.825</p> <p><strong>สรุป</strong> แบบสำรวจพฤติกรรมเด็กทั้ง 3 ฉบับ ยังคงมีองค์ประกอบเชิงโครงสร้างที่ดีในบริบทไทยในปัจจุบัน แม้จะมีกลุ่มอาการที่แตกต่างจากต้นฉบับปัจจุบันของประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากการพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานปัญหาพฤติกรรมโดยรวม ควรมีการศึกษาเกณฑ์ปกติของกลุ่มอาการในแต่ละด้านต่อไป</p> <p class="Default"><span lang="TH" style="font-size: 18.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"><strong>คำสำคัญ:</strong> สุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น</span><span style="font-size: 18.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;">, <span lang="TH">ความตรงเชิงโครงสร้าง</span>, <span lang="TH">แบบสำรวจพฤติกรรมเด็ก</span></span></p> <p class="Default"><span style="font-size: 18.0pt; font-family: 'TH SarabunPSK',sans-serif;"> </span></p> 2025-11-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online) https://so03.tci-thaijo.org/index.php/tci-thaijclinicpsy/article/view/289521 การพัฒนาบอร์ดเกมเพื่อส่งเสริมความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้า: การศึกษาเบื้องต้น 2025-05-20T14:22:51+07:00 ณัฐพร เพียรการ suchada.sako@ku.th ลินณรีย์ บุญอ่อน suchada.sako@ku.th สุรมณ เสริมสิริรัตน์ suchada.sako@ku.th ชนิกานต์ พันธ์หล้า suchada.sako@ku.th พนมพร พุ่มจันทร์ suchada.sako@ku.th เอื้ออนุช ถนอมวงษ์ suchada.sako@ku.th สุชาดา สกลกิจรุ่งโรจน์ suchada.sako@ku.th <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>โรคซึมเศร้าเป็นปัญหาทางสุขภาพจิตที่สำคัญซึ่งพบได้บ่อยในสังคมไทย ความรู้ความเข้าใจในโรคซึมเศร้าจะช่วยให้บุคคลรับมือเมื่อต้องเผชิญกับภาวะดังกล่าวได้ดียิ่งขึ้น บอร์ดเกมเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่สามารถส่งเสริมการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> 1) เพื่อพัฒนาบอร์ดเกมต้นแบบส่งเสริมความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้า 2) เพื่อตรวจสอบประสิทธิผลของบอร์ดเกมส่งเสริมความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้าที่พัฒนาขึ้น และ 3) เพื่อศึกษามุมมองและประสบการณ์ในการเล่นบอร์ดเกมของกลุ่มผู้เล่น</p> <p><strong>วัสดุและวิธีการ</strong> กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตปริญญาตรี จำนวน 22 คน เลือกตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยบอร์ดเกมส่งเสริมความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้า แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และแบบทดสอบความรู้เรื่องโรคซึมเศร้า วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยสถิติบรรยายและสถิติอ้างอิง รวมทั้งวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong> บอร์ดเกมต้นแบบ เวอร์ชัน 1.0 มีองค์ประกอบของเกมครบถ้วน มีการออกแบบที่คำนึงถึงประสบการณ์ การใช้สื่อหลากหลาย และความบันเทิง เนื้อหาของเกมครอบคลุมสาเหตุ อาการ และการดูแลรักษาโรคซึมเศร้า มีการตรวจสอบประสิทธิผลของบอร์ดเกมโดยผู้ทรงคุณวุฒิ อาสาสมัครมีคะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคซึมเศร้าสูงขึ้นหลังเล่นบอร์ดเกมอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 อาสาสมัครมีความคิดเห็นว่าบอร์ดเกมที่พัฒนาขึ้นเป็นสื่อการเรียนรู้ที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ ส่งเสริมความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้าได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันอุปกรณ์การเล่นมีการออกแบบอย่างสวยงาม สร้างสรรค์ กลไกการเล่นมีความท้าทาย สนุกสนาน ทำให้รู้สึกชื่นชอบบอร์ดเกม และเล็งเห็นถึงประโยชน์ที่ได้จากการเล่น</p> <p><strong>สรุป</strong> บอร์ดเกมฯ ที่พัฒนาขึ้นสามารถนำไปใช้ในการส่งเสริมความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้า</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> บอร์ดเกม, โรคซึมเศร้า, นิสิตปริญญาตรี</p> 2025-11-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารจิตวิทยาคลินิกไทย (Online)