https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/issue/feed บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ 2025-08-31T20:19:35+07:00 พระอธิการนัฐวุฒิ สิริจนฺโท,ดร. roietjournal@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสาร บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ เป็นวารสารวิชาการราย 4 เดือน ปีละ 3 ฉบับ ฉบับที่ 1 มกราคม - เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม, ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม (2567 เป็นต้นไป) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแพร่บทความวิจัยและบทความวิชาการแก่นักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนักศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษา ในมิติทางด้านพระพุทธศาสนา ศิลปศาสตร์ รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ และสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/285554 การบริหารบุคคลกับการเปลี่ยนแปลงในสภาวะวิกฤตของผู้บริหารเชิงพุทธจิตวิทยา 2025-04-18T15:51:06+07:00 ธนศักดิ์ พรทัพพสาร bounlorm.lat@mcu.ac.th สิริวัฒน์ ศรีเครือดง bounlorm.lat@mcu.ac.th พระครูสุตวรธรรมกิจ bounlorm.lat@mcu.ac.th <p> บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารบุคคลกับการเปลี่ยนแปลงในสภาวะวิกฤตของผู้บริหารเชิงพุทธจิตวิทยา ผลการศึกษาพบว่า การบริหารบุคคลในสภาวะวิกฤตนั้นถือเป็นความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้บริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การนำหลักจิตวิทยาและหลักพุทธศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการบริหารบุคคลสามารถช่วยสร้างความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจต่อพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักการจิตวิทยา เช่น การสร้างแรงจูงใจและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในองค์กร ขณะที่หลักพุทธศาสตร์ เช่น อริยมรรค ส่งเสริมการตัดสินใจที่มีเหตุผลและการจัดการกับความเครียดในช่วงวิกฤต โดยการประยุกต์ใช้แนวทางเหล่านี้สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความพึงพอใจในองค์กรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว และการสร้างสัมพันธภาพที่ดีให้เกิดขึ้นในองค์กรโดยใช้หลักพรหมวิหาร 4 ซึ่งเป็นหลักครองใจคน ซึ่งผู้บริหารสามารถนำมาใช้ในการเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้เกิดขึ้นในองค์กร หลักธรรมพรหมวิหาร 4 จึงเป็นธรรมสำหรับผู้ปกครองที่ช่วยทำให้องค์กรสามารถดำเนินต่อไปได้</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/286315 พัฒนาสังคมไทยด้วยความรู้ เข้าใจไตรภูมิฯ 2025-04-18T15:16:55+07:00 พระปลัดอำพล มทฺทโว (เภตรา) bounlorm.lat@mcu.ac.th พระครูภาวนาพัฒนบัณฑิต bounlorm.lat@mcu.ac.th <p>หนังสือ “พัฒนาสังคมไทยด้วยความรู้ เข้าใจไตรภูมิฯ” มีโครงสร้างเนื้อหาทั้งหมด 5 หัวข้อ ได้แก่ 1) โครงเรื่องสรุปเนื้อหาของไตรภูมิฯ ว่าด้วยเรื่องไตรภูมิ (ภูมิ 3) และจตุตถภูมิ (ภูมิ 4) 2) ข้อสังเกตทั่วไปที่ช่วยให้เข้าใจไตรภูมิฯ ว่าด้วยเรื่องไตรวัฏฏะ เปรียบเทียบภูมิหลังและบทประพันธ์ 3) ศีลธรรมในไตรภูมิพระร่วง ว่าด้วยเรื่องทศพิธราชธรรม บุญกิริยาวัตถุ 10 และศีลธรรมของนักปกครอง 4) ขอบเขตอิทธิพลของไตรภูมิฯ ว่าด้วยเรื่องคติธรรม อิทธิพลทางความคิดและความเชื่อนรกสวรรค์ของนักปกครอง หลักปกครองและอิทธิพลทางความคิดในยุคสุโขทัยและอยุธยา 5) ข้อคิดและท่าทีที่ถูกต้องต่อไตรภูมิฯ ว่าด้วยเรื่องหลักกรรม หลักไตรลักษณ์ และหลักไตรภูมิฯ ต่อการสร้างสรรค์สังคมไทย โดยสรุปไตรภูมิพระร่วงว่าด้วยเรื่องภพภูมิหรือสงสารวัฏนั่นเอง โดยมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ไปเกิดในภพภูมิต่างๆ คือกิเลส กรรม วิบาก ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสงสารวัฏ เนื้อหาที่น่าสนใจซึ่งผู้นำใช้ในการปกครองคือทศพิธราชธรรม ธรรมที่ส่งเสริมการปกครอง เช่น ศีล 5 บุญกิริยาวัตถุ ส่วนธรรมในระดับสูงที่สอนให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจชีวิต เช่น ปฏิจจสมุปบาท ไตรลักษณ์ เป็นต้น</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/292078 ศึกษาวิเคราะห์คติธรรมเกี่ยวกับประเพณีงานศพ บ้านพงสวาย อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ 2025-08-03T09:34:47+07:00 พระภูวนัย ภูริปญฺโญ (สุภาพ) james1017899@gmail.com พระครูวาปีจันทคุณ james1017899@gmail.com พระครูภาวนาพัฒนบัณฑิต james1017899@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาประเพณีงานศพบ้านพงสวาย ตำบลท่าตูม อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อวิเคราะห์คติธรรมที่ปรากฎในประเพณีงานศพบ้านพงสวาย ตำบลท่าตูม อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ เป็นการวิจัยเชิงคุณคุณภาพ รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร และภาคสนาม โดยการลงพื้นที่เก็บข้อมูลสัมภาษณ์เชิงลึกจากประชากรผู้ให้ข้อมูลหลัก 2๐ รูป/คน แล้วนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการพรรณนา &nbsp;</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>ประเพณีงานศพบ้านพงสวาย ตำบลท่าตูม อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์นั้น &nbsp;เมื่อมีคนตายลูกหลานก็จะประกอบพิธีอาบน้ำศพ ตกแต่งศพให้ดูดี เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ จากนั้นจะเอาเทียนขี้ผึ้ง หนักหนึ่งบาทไส่ ๙ เส้นจุดตั้งไว้ทางศีรษะศพ พิธีอาบน้ำศพ ญาติผู้ตายต้องไปเชิญอาจารย์ผีให้มาเป็นผู้นำในพิธีกรรมงานศพ อาบด้วยน้ำร้อนก่อนแล้วจึงอาบด้วยน้ำเย็น การมัดตราสังศพ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับฝึกหัดเคยผูกมัดศพมาแล้ว รู้คาถาเวลาผูกมัด และมัดด้วยด้ายสายสินจญ์ ๓ รอบ นุ่งห่มผ้าศพด้วยผ้าขาว รดน้ำศพเพื่อระลึกถึงบุญคุณของผู้ตาย และเพื่อขอขมาต่อผู้ตาย วันเผาศพจะไม่เผาใน วันผีกิน วันจม วันลอย และ วันอุบาทว์ วันโลกาวินาศ หรือวันอัคคนิโรธ เมื่อเผาเสร็จแล้วทำพิธีเก็บอัฐิและทำบุญอุทิศให้กับผู้ตาย</p> <p>คติธรรมที่ปรากฏในพิธีงานศพนั้น คือ 1) การจุดตะเกียงไว้ที่ปลายเท้าหรือข้างโลงศพ เป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่างนำทางวิญญาณผู้ล่วงลับไปสู่ที่ดี หากไม่มีไฟ วิญญาณอาจไปสู่ที่มืด หมายถึงว่าเมื่อชีวิตดับลงก็เหมือนตะเกียงที่ดับเพราะน้ำมันหมด เป็นการเตือนสติคนที่ยังมีชีวิตให้เดินทางไปสู่แสงสว่างทางธรรม&nbsp; 2) การสวดมาติกาหมายถึงการสวดพระอภิธรรมในงานศพ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อแสดงถึงความเคารพต่อผู้เสียชีวิต และให้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเตือนใจผู้ที่ยังอยู่ ๓) การบวชหน้าไฟหมายถึงการบวชของลูกหลานเพื่อจูงศพไปเผา มีความเชื่อว่าผู้ตายจะได้เกาะชายผ้าเหลืองของผู้บวชเพื่อไปสู่สุคติ เป็นการเตือนคนที่ยังอยู่ไม่ให้ประมาทในชีวิต&nbsp; ๔) การโปรยข้าวตอกในงานศพถือเป็นการโปรยทานครั้งสุดท้ายแก่ผู้ตาย ระหว่างเคลื่อนย้ายศพไปยังที่เผา เป็นสัญลักษณ์ของการเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งสาม ได้แก่ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ และการเดินเวียนซ้าย ๓ รอบ ก่อนเผาศพแสดงถึงการสิ้นสุดของชีวิต</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/291314 วิเคราะห์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในประเพณีบุญผะเหวดของชุมชน ตำบลโนนรัง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด 2025-07-14T16:49:39+07:00 พระมหาภานุพงค์ ปภาโต (เวียงวิเศษ) panupong2005p@gmail.com พระครูภาวนาพัฒนบัณฑิต panupong2005p@gmail.com <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการมีส่วนร่วมในบุญผะเหวดของชุมชนตำบลโนนรัง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมในประเพณีบุญผะเหวดของชุมชนตำบลโนนรัง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด และ 3) เพื่อวิเคราะห์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในประเพณีบุญผะเหวดของชุมชนตำบลโนนรัง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง 22 รูป/คน สนทนากลุ่ม และปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการวิเคราะห์เนื้อหา พร้อมทั้งนำเสนอผลการวิจัยในเชิงพรรณนาวิเคราะห์</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) ประเพณีการทำบุญผะเหวดของชุมชนตำบลโนนรัง จำแนกกระบวนการมีส่วนร่วมออกเป็น 5 ส่วน คือ การมีส่วนร่วมวางแผนและเตรียมการ การเตรียมสถานที่ การเตรียมอาหารบริการผู้มาร่วมบุญ การมีส่วนร่วมจัดกิจกรรม และการกำหนดบทบาทการมีส่วนร่วมของสมาชิกในชุมชน โดยพฤติกรรมการมีส่วนร่วม 4 ลักษณะ คือ การเข้าร่วมงานบุญ การช่วยทำงาน การร่วมบริจาค และการร่วมเรียนรู้/เผยแพร่</p> <p>2) ส่วนการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในประเพณีบุญผะเหวดชุมชนตำบลโนนรังผ่านกลไกความร่วมมือ 6 ส่วน คือ กลไกทางสังคมและวัฒนธรรม กลไกทางเศรษฐกิจ กลไกทางการเมือง กลไกภายในชุมชน กลไกเชิงเครือข่าย และกลไกต้นทุนชุมชน</p> <p>3) ผลการวิจัยวิเคราะห์อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมในประเพณีบุญผะเหวดที่โดดเด่นของชุมชนตำบลโนนรังจำแนกออกเป็น 9 ส่วน คือ สิ่งประดิษฐ์ การกิน การบันเทิง การแห่กันจอบกัณฑ์หลอน การทำต้นดอกไม้เงิน การ แต่งกาย การขับร้อง ศิลปะ และการถ่ายทอดวัฒนธรรม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมเชิงพหุลักษณ์ คือ (1) วัฒนธรรมทางวัตถุ ได้แก่ สิ่งสร้างสรรค์ อุปกรณ์และเครื่องใช้ ศิลปะสร้างสรรค์ เทคโนโลยี ผลิตผลชุมชน สัญญะในบุญผะเหวด และวิถีชุมชนนิยม (2) วัฒนธรรมที่ไม่ใช่วัตถุ ได้แก่ ความเชื่อ ค่านิยม ภาษา และศิลปะการแสดงในประเพณีทำบุญผะเหวด</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/291254 การเสริมสร้างเครือข่ายสุขภาพวิถีพุทธของสมัชชาสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด 2025-08-03T09:32:11+07:00 พลากร อนุพันธ์ james1017899@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพการของเครือข่ายสุขภาพวิถีพุทธของสมัชชาสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด 2) เพื่อพัฒนากระบวนการเสริมสร้างเครือข่ายสุขภาพวิถีพุทธของสมัชชาสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด 3) เพื่อนำเสนอรูปแบบการเสริมสร้างเครือข่ายสุขภาพวิถีพุทธของสมัชชาสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด รูปแบบการวิจัยคือการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) พื้นที่การศึกษา ได้แก่ ชุมชนในเขตจังหวัดร้อยเอ็ด กลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 35 รูป/คน เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบบันทึกการสนทนากลุ่มย่อย และแบบสังเกต เก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารและข้อมูลภาคสนาม วิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (Content Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผลการวิจัยพบว่า สภาพการของเครือข่ายสุขภาพวิถีพุทธของสมัชชาสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด มีการดำเนินงานอย่างเข้มแข็งและมีส่วนร่วมทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน มีการส่งเสริมกิจกรรมสุขภาพวิถีพุทธที่หลากหลาย เช่น การอบรมปฏิบัติธรรม การทำสมาธิ และการส่งเสริมอาหารสุขภาพตามหลักพุทธศาสนา มีการผลักดันนโยบายสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพวิถีพุทธ และส่งเสริมให้ชุมชนจัดทำธรรมนูญสุขภาพชุมชนวิถีพุทธ การพัฒนากระบวนการเสริมสร้างเครือข่ายสุขภาพวิถีพุทธของสมัชชาสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด ประกอบด้วย ขั้นตอนการก่อรูปเครือข่าย การจัดการระบบเครือข่าย การจัดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในเครือข่าย การใช้ประโยชน์เครือข่าย และการประยุกต์ใช้หลักธรรมภาวนา 4 ในการพัฒนากระบวนการเสริมสร้างเครือข่าย รูปแบบการเสริมสร้างเครื่องข่ายสุขภาพวิถีพุทธของสมัชชาสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นกระบวนการที่มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของสมาชิกทุกคนในเครือข่ายให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การวางระบบเครือข่ายสุขภาพครอบคลุมการกำหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิก การวางแผน และการประเมินผล การใช้ประโยชน์เครือข่ายสุขภาพวิถีพุทธของสมัชชาสุขภาพจังหวัดร้อยเอ็ด เป็นการนำศักยภาพของเครือข่ายมาสร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระดับชุมชน ส่วนการประยุกต์ใช้หลักธรรมภาวนา 4 คือการฝึกและประยุกต์ใช้สติ สมาธิ และปัญญา</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/291036 การส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์คุณธรรมจริยธรรม โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษาวัดบูรพาภิราม จังหวัดร้อยเอ็ด 2025-07-30T11:31:06+07:00 Phra Paiboon Phabhassaro (Thakkhinai) james1017899@gmail.com Pharkhru Vapeechanthakhun james1017899@gmail.com Phaitoon Suanmafai james1017899@gmail.com <p>การศึกษาวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา วัดบูรพาภิราม 2) เพื่อศึกษาการส่งเสริมพัฒนาการองค์ความรู้ในการคิดวิเคราะห์และจริยธรรมนักเรียนของโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา วัดบูรพาภิราม โดยการสัมภาษณ์จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน ทั้งสิ้น 30 รูป/คน แล้วนำเสนอผลการวิจัยด้วยพรรณนาวิธีผลการวิจัยพบว่า แนวทางการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมงเป็นการผสมผสานระหว่างการเรียนรู้ทางธรรมและทางโลกที่ช่วยให้นักเรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและมีจริยธรรม การเรียนการสอนควรเชื่อมโยงเนื้อหาทางธรรมะกับวิชาการทั่วไป เพื่อให้นักเรียนได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างธรรมะกับการดำรงชีวิต และสามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ผ่านมุมมองทางพุทธศาสนา นักเรียนควรได้รับการฝึกการตั้งคำถาม การวิเคราะห์เนื้อหา และการมองหลายแง่มุม โดยการสอนให้คิดอย่างมีเหตุผลและไม่เชื่อข้อมูลต่างๆ โดยไม่มีการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแนวทางการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ได้แก่ การสร้างวัฒนธรรมโรงเรียนที่ดี: ส่งเสริมการสร้างบรรยากาศที่สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบ เกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมในหลักสูตรการศึกษา เช่น การเรียนรู้เรื่องความซื่อสัตย์ การเคารพผู้อื่น การทำงานหนัก และการรับผิดชอบต่อหน้าที่ สร้างความเข้าใจและความตระหนักในเรื่องคุณธรรม เช่น การประกวดโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริการสังคม การอบรมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมที่ส่งเสริมความรับผิดชอบ โดยใช้กิจกรรมที่ให้ประสบการณ์ตรง เช่น การทำโครงการบริการสังคม การเป็นผู้นำในกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้ถึงความรับผิดชอบและผลกระทบของการกระทำของตน องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัย ทำให้เห็นว่าการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนในโรงเรียนพระปริยัติธรรมควรเป็นการผสมผสานระหว่างการเรียนรู้ทางธรรมและวิชาการ เพื่อให้นักเรียนสามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ด้วยมุมมองทางพุทธศาสนา การสอนควรเน้นการตั้งคำถาม การวิเคราะห์เนื้อหา และการคิดอย่างมีเหตุผล โดยไม่เชื่อข้อมูลโดยไม่มีการตรวจสอบ รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมโรงเรียนที่ดี ส่งเสริมการปฏิบัติหน้าที่และความรับผิดชอบ การจัดกิจกรรมที่เน้นคุณธรรม เช่น การประกวดโครงการบริการสังคม การอบรมเชิงปฏิบัติการ และกิจกรรมที่ให้ประสบการณ์ตรงในการรับผิดชอบ ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกฝนและประยุกต์ใช้คุณธรรมในชีวิตจริง</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/291125 แนวทางการส่งเสริมการบริโภคอาหารของพระสงฆ์เพื่อพัฒนาสุขภาพกายและจิต 2025-07-30T11:29:17+07:00 พระอธิการณรงค์ ชาคโร james1017899@gmail.com ไพฑูรย์ สวนมะไฟ toonmcu101@gmail.com พระครูภาวนาพัฒนบัณฑิต toonmcu101@gmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคำสอนเกี่ยวกับการบริโภคอาหารของพระสงฆ์ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เพื่อศึกษาหลักการบริโภคอาหารที่ส่งเสริมการพัฒนาสุขภาพของพระสงฆ์ และเพื่อเสนอแนวทางการส่งเสริมการบริโภคอาหารของพระสงฆ์เพื่อพัฒนาสุขภาพกายและจิตเป็นการวิจัยเอกสาร เก็บรวบรวมข้อมูลจากพระไตรปิฎก อรรถกถา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิเคราะห์และนำเสนอข้อมูลโดยวิธีพรรณนาความ</p> <p><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong></p> <p>การดูแลสุขภาพพระสงฆ์เน้นทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ เพราะกายและใจนั้นสัมพันธ์กัน เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ เมื่อกายสงบ ย่อมได้รับความสุข และเมื่อมีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น การดูแลสุขภาพกาย เช่น การเดินจงกรม การปฏิบัติกิจวัตร 10 อย่าง เป็นต้น คำสอนที่ส่งเสริมการบริโภค เช่น การรู้ประมาณในการบริโภค (โภชเน มัตตัญญุตา) เป็นต้น หลักของการพิจารณาปัจจัย 4 เมื่อจะบริโภคอาหารก็ให้พิจารณาว่า ที่เราบริโภคอาหารนี้เพื่อจะได้หล่อเลี้ยงชีวิต ให้ร่างกายมีสุขภาพดี มีความผาสุก ส่วนความสำรวมอินทรีย์เป็นอุบายและวิธีการฝึกตนให้มีสติในการบริโภคอาหาร แนวทางการส่งเสริมการบริโภคอาหารของพระสงฆ์เพื่อการมีสุขภาพกายและจิตที่ดี ได้แก่ 1) การบริโภคตามพระธรรมวินัย 2) การบริโภคตามหลักสุขภาวะ 3) การบริโภคตามหลักการแบ่งปัน ส่วนวิธีการส่งเสริมการบริโภคอาหารของพระสงฆ์นั้น เช่น การเลือกอาหารที่สะอาด ถูกสุขอนามัย เป็นประโยชน์ต่อร่างกายถวายแก่พระสงฆ์ เป็นต้น</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/289567 การบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของผู้บริหารของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดนนทบุรี 2025-06-03T14:51:39+07:00 อธิลักษณ์ ดิษฐกรรัตน์ amm.dtkr18@gmail.com ชลาภรณ์ สุวรรณ์สัมฤทธิ์ amm.dtkr18@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชน 2) เปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชน จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ และขนาดโรงเรียน และ3) แนวทางการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน และครูโรงเรียนเอกชน จำนวน 363 คน ใช้วิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหารายข้อระหว่าง .67-1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดนนทบุรี ในภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการนิเทศการศึกษา รองลงมาคือ ด้านการพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ ด้านการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ด้านการวางแผนงานด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการวัดผล ประเมินผล และดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน และการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา 2) การเปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชน จำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และขนาดโรงเรียนไม่มีความแตกต่าง ในภาพรวมไม่แตกต่างกัน จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงาน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05 และ3) แนวทางการบริหารงานวิชาการสู่ความเป็นเลิศของโรงเรียนเอกชน พบว่า การใช้แนวทางการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยผู้บริหารทำหน้าที่เป็นผู้นำทางวิชาการ พัฒนาองค์กรและเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อยกระดับคุณภาพผู้เรียนอย่างยั่งยืน</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/289305 หมอน้ำมัน : ภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านการรักษาผู้ป่วยโรคกระดูกในพื้นที่อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม 2025-05-16T12:51:24+07:00 พระประมุข ต้นทอง pratong2528@outlook.co.th ธีระพงษ์ มีไธสง Theerapong_00@yahoo.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาหมอน้ำมันท้องถิ่นรวมการสืบทอดการรักษาผู้ป่วยโรคกระดูกในพื้นที่อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีวิธีการวิจัยที่สำคัญ ได้แก่ การสัมภาษณ์ การสังเกต และการสนทนากลุ่ม ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 19 คน แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์ โดยนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า </strong></p> <p>หมอน้ำมัน 3 หมู่บ้าน ในบ้านแดงน้อย บ้านนาดี และบ้านดงเค็ง ได้มีขั้นตอนการรักษาผู้ป่วยโรคกระดูก คือ 1) การเตรียมการ เป็นการจัดเตรียมสถานที่ไว้ให้ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย โดยเตียงไม้ไผ่ไว้ที่หน้าบ้าน 2) การวินิจฉัยโรค โดยใช้มือคลำหรือสัมผัสบริเวณที่กระดูกหักหัก 3) การบูชาครู ก่อนจะทำการรักษา ผู้ป่วยต้องทำพิธีการตั้งคายยกครูก่อน 4) ขั้นตอนการรักษา โดยให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนหงายเหยียดตรง หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการฟกช้ำหรือมีบาดแผล จะทำพิธีการอ่วยเลือด คือ การระบายเลือดเสีย เพื่อให้เลือดที่ดีไหลเข้ามาแทน จากนั้น จึงเสกคาถาใส่น้ำทำน้ำมนต์ให้ดื่มก่อน แล้วทาด้วยน้ำมันงาและการเป่าคาถาไปด้วย 5) ระยะ เวลาการรักษา หากผู้ป่วยกระดูกร้าวจะหายเร็วขึ้นกว่ากระดูกหัก ถ้าเป็นเด็ก จะใช้เวลา 20 วัน ผู้ใหญ่ 40 วัน ส่วนผู้ป่วยหนัก ดีขึ้นไม่เกิน 60 วัน สำหรับผู้ป่วยสูงอายุ จะใช้เวลา 100-120 วัน รวมทั้ง ผู้ป่วยจะต้องคะลำการรับประทานอาหาร หรือข้อห้ามตามที่หมอน้ำมันแนะนำ เช่น สุรา เห็ดนานาชนิด กุ้ง หอย 6) ผลการรักษา จากการรักษาผู้ป่วยโรคกระดูกหักของ 3 หมอ มีประสบการณ์เฉลี่ย 39 ปี 7) การปลงคาย เป็นการสิ้นสุดหรือยกเลิกการรักษา เมื่อหายเป็นปกติผู้ป่วยต้องกลับมาทําพิธีปลงคายที่บ้านของหมอน้ำมัน ตามที่หมอน้ำมันกำหนด โดยไม่เรียกร้องค่ารักษาใด ๆ หากผู้ป่วยไม่มาปลงคายหรือปลงคายช้า จะทำให้คาถาของหมอน้ำมันทรงตัว เสื่อมลง แพ้คาถา จะต้องทำพิธีปลงคายด้วยตนเอง </p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/289010 แนวทางการบริหารความเสี่ยงในยุคดิจิทัลของโรงเรียนเอกชน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดนนทบุรี 2025-05-16T12:16:06+07:00 พรทิพย์ จุลเชาวน์ toeyyoung@gmail.com ปณต นามะวิโรจน์ toeyyoung@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารความเสี่ยงในยุคดิจิทัลของโรงเรียนเอกชน2) เปรียบเทียบการบริหารความเสี่ยงในยุคดิจิทัลของโรงเรียนเอกชน จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน และ 3) ศึกษาแนวทางการบริหารความเสี่ยงในยุคดิจิทัลของโรงเรียนเอกชนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดนนทบุรี การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 คน และครูโรงเรียนเอกชน จำนวน 363 คน ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามมีค่าความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง .67-1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ .96 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วย LSD และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p><strong>ผลการศึกษา พบว่า </strong></p> <p>1) การบริหารความเสี่ยงในยุคดิจิทัลของโรงเรียนเอกชน โดยรวมในระดับมากที่สุด เรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุดไปต่ำสุด ได้แก่ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านความน่าเชื่อถือขององค์กร ด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ด้านการดำเนินงาน ด้านการเงิน และด้านกลยุทธ์ 2) การเปรียบเทียบการบริหารความเสี่ยงในยุคดิจิทัลของโรงเรียนเอกชน จำแนกตามเพศต่างกัน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสติถิที่ระดับ .01 และ .05 ส่วนอายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงานต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน 3) แนวการบริหารความเสี่ยงในยุคดิจิทัลของโรงเรียนเอกชนในจังหวัดนนทบุรีครอบคลุม 6 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านกลยุทธ์ โดยกำหนดนโยบายและมาตรการป้องกันที่เหมาะสม ด้านการเงิน โดยจัดสรรงบประมาณเพื่อเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการดำเนินงาน โดยบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการเรียนการสอน ด้านกฎระเบียบ โดยปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น PDPA ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ และด้านความน่าเชื่อถือขององค์กร โดยดำเนินงานอย่างโปร่งใสและมีมาตรฐาน</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/288971 การบริหารจัดการโรงเรียนทางเลือกของสถานศึกษา เอกชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 2025-06-02T14:43:06+07:00 อรจิรา ศรีอุทัย aonjiraaonsriuthai@gmail.com ฉัตรกุล เอื้อพิพัฒนากูล aonjiraaonsriuthai@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนทางเลือกของสถานศึกษาเอกชน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ2) เปรียบเทียบการบริหารจัดการโรงเรียนทางเลือกของสถานศึกษาเอกชน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน และจังหวัด กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จำนวน 278 คน ใช้ววิธีสุ่มแบบแบ่งชั้นจำแนกตามจังหวัด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่มีค่าความตรงเชิงเนื้อหารายข้อระหว่าง .67-1.00 และค่าความเที่ยงเท่ากับ .97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <p>1) ผลการศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนทางเลือกของสถานศึกษาเอกชน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การจัดประสบการณ์ รองลงมา คือ การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ นโยบายการบริหารหลักสูตร และการบริหารจัดการ และ2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารจัดการโรงเรียนทางเลือกของสถานศึกษาเอกชน ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำแนกตามอายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกันทั้งในภาพรวมและรายด้าน</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์ https://so03.tci-thaijo.org/index.php/saketreview/article/view/288929 พฤติกรรมการบริหารสถานศึกษาเอกชนยุคพลิกผัน สังกัดสำนักงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน นนทบุรี 2025-05-15T06:57:50+07:00 ธนัชชา สู่คง thanutchask@gmail.com ฉัตรกุล เอื้อพิพัฒนากูล thanutchask@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการบริหารสถานศึกษาเอกชนยุคพลิกผัน &nbsp;และ2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการบริหารสถานศึกษาเอกชนยุคพลิกผัน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน นนทบุรี&nbsp; โดยการศึกษาแนวคิดทฤษฎีจากเอกสาร บทความและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง&nbsp; ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมครอบคลุมตามตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยแล้วมากำหนดคำถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน นนทบุรี ปีการศึกษา 2567 จำนวน 363 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตารางของ Krejcie and Morgan และใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการบริหารสถานศึกษาเอกชนยุคพลิกผัน ตามความเห็นของครูในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เรียงจากค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน&nbsp; รองลงมา คือ ทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรม การบริหารเชิงกลยุทธ์ การทำงานเป็นทีม การสื่อสาร และแรงจูงใจ &nbsp;2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการบริหารสถานศึกษาเอกชนยุคพลิกผัน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน นนทบุรี จำแนกตามระดับการศึกษาและประสบการณ์การทำงานที่ต่างกัน มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกันทั้งภาพรวมและรายด้าน&nbsp; จำแนกตามขนาดของสถานศึกษา ในภาพรวมและรายด้าน มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นด้านการบริหารเชิงกลยุทธ์และทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรม&nbsp; มีความคิดเห็นไม่แตกต่างกัน&nbsp; เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธี LSD&nbsp; พบว่า ครูที่มีสถานศึกษาขนาดกลางกับขนาดใหญ่ มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ .05</p> <p>&nbsp;</p> 2025-08-31T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 บัณฑิตสาเกตปริทรรศน์