วารสารการจัดการภาครัฐและภาคเอกชน

Enhancing Service Adaptive Behavior in the Public Service Context: When Ethical Self-Interest Climate as an Obstacle

2025-02-24T11:50:13+07:00

The research aims to explore the relationship between public sector employees’ prosocial motivation and service adaptive behavior. By examining this relationship, the intervening role of a self-interest climate was explored as a mediator. The research was built upon social cognitive theory to understand how prosocially motivated public servants could exhibit adaptive behavior directly, as well as indirectly, by mitigating an adverse working climate. Data was collected from the perspectives of both managerial and non-managerial employees and analyzed using the PLS-SEM method. A positive linkage between prosocial motivation and service adaptive behavior was established. Furthermore, prosocial motivation was found to help public employees overcome an egoistic climate and exhibit adaptability in serving citizens. Several theoretical contributions and practical implications for public managers were presented.

From Public-Private Partnerships to Build a Disaster-Preventive and Resilient City

2025-05-05T10:28:43+07:00

As a result of climate change, major flooding has affected multiple cities worldwide. To mitigate the damage caused by extreme weather, disaster prevention and rescue technologies have received considerable attention. Given that floods often occur in low-altitude areas, we selected Yunlin as our primary research subject in this study. Yunlin is a county-level administrative division of Taiwan, characterized by an area of 1,291 km2 and with a population of 659,468 in 2024. It has approximately flat terrain but is higher in the east and lower in the west. When heavy rainfall occurs, torrents from mountainous areas rush onto plains, where their flow speed sharply drops. This paper applies a qualitative analysis method based on public–private partnership (PPP) concept and a case study to explore how the Yunlin County Government and the private sector establish a cooperation model to respond to the floods. Our results indicated that the Yunlin County Government can build a data center in the Yunlin Technology Industrial Park or Huawei Industrial Park with the help of the private sector to collect data for decision-makers. Additionally, annual preorder and emergency priority procurement models can support the proposed PPP-based cooperation model. Nongovernmental organizations focusing on disaster prevention—such as the Taiwan Association of Disaster Prevention Industry, Disaster Management Society of Taiwan, and National Science and Technology Center for Disaster Reduction—can bridge the gap between local governments and city residents to support cooperation models.

กระบวนทัศน์นโยบายความมั่นคงแห่งชาติไทย: การเปลี่ยนแปลงและทิศทางใน ศตวรรษที่ 21

2025-05-09T15:11:48+07:00

นโยบายความมั่นคงแห่งชาติไทยมีพลวัตการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตอบสนองต่อบริบทโลกที่สลับซับซ้อน จากแนวคิดความมั่นคงแบบรัฐเป็นศูนย์กลาง (State-Centric Security) ได้พัฒนาไปสู่แนวคิดความมั่นคงแบบองค์รวม (Comprehensive Security) ซึ่งครอบคลุมมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงทางไซเบอร์ บทความนี้ได้วิเคราะห์นโยบายความมั่นคงแห่งชาติไทย โดยใช้กรอบการวิเคราะห์นโยบาย 5 ขั้นตอน (Five-Step Policy Analysis) เพื่อระบุปัญหา ปัจจัยกำหนดนโยบาย สภาพแวดล้อมของนโยบาย ทางเลือกเชิงนโยบายและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ด้านความมั่นคงของไทยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกประเทศ อาทิ การเปลี่ยนแปลงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ภัยคุกคามทางไซเบอร์ และการบูรณาการความร่วมมือระหว่างประเทศ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติในปัจจุบันให้ความสำคัญกับ 5 มิติหลัก ได้แก่ 1) การรักษาความสงบภายในประเทศ 2) การป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคง 3) การพัฒนาศักยภาพด้านความมั่นคง 4) การส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคง และ 5) การพัฒนากลไกการบริหารจัดการความมั่นคง ท้ายที่สุดของบทความนี้ ได้ให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างฉากทัศน์เพื่อวิเคราะห์ภัยคุกคาม การให้รัฐสภามีบทบาทกำกับดูแลเชิงนโยบาย และการปรับยุทธศาสตร์ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เป็นมาตรการและแนวทางนโยบายที่ควรดำเนินการเพื่อให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่ซับซ้อนและไม่แน่นอนในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงถาวร

อิทธิพลของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ดัชนี MSCI ดัชนีความผันผวน มูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ และปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ที่มีต่อดัชนีหุ้นยั่งยืน SET ESG ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และดัชนี FTSE4Good Bursa Malaysia ของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย

2025-06-18T15:29:13+07:00

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ดัชนี MSCI ดัชนีความผันผวน มูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ และปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ที่มีต่อดัชนีหุ้นยั่งยืน SET ESG ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และดัชนี FTSE4Good Bursa Malaysia ของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ตัวแปรอิสระถูกแบ่งออกเป็น ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์, ดัชนี MSCI, ดัชนีความผันผวน, มูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศ, และปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน และราคาน้ำมันดิบ ข้อมูลทุติยภูมิที่ใช้ในงานวิจัยนี้ ถูกเก็บรวบรวมข้อมูลย้อนหลังเป็นรายวัน ระยะเวลาในการศึกษาเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2567 เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยใช้การวิเคราะห์ด้วยการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ

ผลการศึกษาพบว่า ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับดัชนี FTSE4Good Bursa Malaysia ของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ดัชนี MSCI มีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับดัชนีหุ้นยั่งยืน SET ESG ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและดัชนี FTSE4Good Bursa Malaysia ของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย ดัชนีความผันผวนและราคาน้ำมันดิบมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับดัชนีหุ้นยั่งยืน SET ESG ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับดัชนี FTSE4Good Bursa Malaysia ของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย อัตราแลกเปลี่ยนมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับดัชนีหุ้นยั่งยืน SET ESG ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับดัชนี FTSE4Good Bursa Malaysia ของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย อย่างไรก็ตามดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์และมูลค่าการซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับดัชนีหุ้นยั่งยืน SET ESG ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดัชนีความผันผวนและราคาน้ำมันดิบไม่มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับดัชนี FTSE4Good Bursa Malaysia ของตลาดหลักทรัพย์มาเลเซีย

Institutionalizing and Managing a Financially Independent Sangguniang Kabataan: The Roles of SK Chairperson

2025-03-06T11:48:49+07:00

Financial management expertise aids Sangguniang Kabataan (SK) Chairpersons in achieving and managing financial independence under Section 20 of Republic Act No. 10742. This study explores the experiences of Sangguniang Kabataan (SK) Chairpersons in Tagum City, Philippines, in achieving and managing financial independence. Through in-depth interviews with eight former SK Chairpersons, the study reveals that effective financial management strengthens institutional inclusivity and resilience. Key challenges faced by SK Chairpersons include insufficient procedural knowledge, inadequate internal resources, political pressure, and lack of youth participation. To overcome these challenges, they employed coping mechanisms such as continuous self-development, attention to detail, and communication initiatives. The study underscores the importance of promoting accountability, transparency, and constituent feedback in SK decision-making. The findings suggest that effective management of financial independence enhances decision-making and youth governance. The study recommends continuous training and resources for SK Chairpersons to improve their procedural knowledge and capabilities. The National Youth Commission and Local Youth Development Offices can play a crucial role in providing support to SK Chairpersons, thereby helping build more resilient and inclusive institutions.