https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/issue/feed วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี 2025-12-01T10:42:07+07:00 Assistant Professor Dr.Benjawan Kongkhon mscjournal.sru@gmail.com Open Journal Systems <p>วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี เปิดรับบทความประกอบด้วย 8 สาขาวิชา ดังนี้</p> <ul> <li class="show">สาขาวิชาบริหารธุรกิจ (การตลาด การจัดการทั่วไป และบริหารทรัพยากรมนุษย์)</li> <li class="show">สาขาวิชาการเงินและการธนาคาร</li> <li class="show">สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ</li> <li class="show">สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์</li> <li class="show">สาขาวิชานิเทศศาสตร์</li> <li class="show">สาขาวิชาการบัญชี</li> <li class="show">สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์</li> <li class="show">สาขาการจัดการการท่องเที่ยว</li> </ul> <p>โดยมีกำหนดประจำทุกปี ปีละ 2 ฉบับ คือ มกราคม – มิถุนายน และกรกฎาคม – ธันวาคม</p> <p>ประเภทของบทความที่จะรับบทความวิชาการ (Article) และ บทความงานวิจัย (Research Article) โดยรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p><strong> วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี มีการตรวจสอบคุณภาพของบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Review) ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจากหลายหลายสถาบัน อย่างน้อย 3 คน</strong></p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการเสนอบทความเพื่อตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ไม่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเสนอบทความ และค่าตีพิมพ์เผยแพร่บทความในวารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราาษฎร์ธานี</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/296046 ฉบับเต็ม 2025-12-01T09:54:56+07:00 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี mscjournal.sru@gmail.com 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/296012 ปกใน 2025-11-29T16:18:49+07:00 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี mscjournal.sru@gmail.com 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/296013 กองบรรณาธิการ 2025-11-29T16:20:07+07:00 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี mscjournal.sru@gmail.com 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/296025 สารบัญ 2025-11-30T10:55:03+07:00 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี mscjournal.sru@gmail.com 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/252593 การสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการในยุคดิจิทัล 2021-12-28T12:37:36+07:00 สิริภัทร์ โชติช่วง siripat.c@psu.ac.th ฬุลิยา ธีระธัญศิริกุล luliya.t@psu.ac.th ปิยธิดา บุญยัง 6040410156@email.psu.ac.th รดา ยมทัศน์ 6040410170@email.psu.ac.th อธิวัฒน์ กายเพ็ชร์ 6040410192@email.psu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้ได้รวบรวมองค์ความรู้ด้านการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่เหมาะสมในยุคสมัยใหม่ผ่านการนำเสนอในมุมกว้าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนะแนวทางของการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการในยุคดิจิทัลให้แก่ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคโดยการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและการสร้างการรับรู้เพื่อให้เกิดความพึงพอใจ ซึ่งการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการ นับเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย 1) การโฆษณา 2) การประชาสัมพันธ์ 3) การส่งเสริมการขาย 4) การตลาดทางตรง และ 5) การขายโดยใช้พนักงานขาย ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะต่อให้มีผลิตภัณฑ์ที่ดี การบริการที่ดี ราคาที่เหมาะสม สถานที่จัดจำหน่ายดี แต่หากไม่มีการสื่อสารการตลาดที่ดีผู้บริโภคก็จะไม่รู้จักสินค้า โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันหรือยุคที่ดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อภาคธุรกิจเพิ่มมากยิ่งขึ้น เนื่องจากทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเป็นไปอย่างก้าวกระโดด ซึ่งการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการในยุคดิจิทัลสามารถช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้ทันทีทันใดและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสูง และบทความนี้ได้ให้ข้อเสนอสําหรับเป็นแนวทางในขับเคลื่อนทางการตลาดให้มีความต่อเนื่องและสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการในธุรกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อมในประเทศไทยอีกด้วย</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/296010 คำแนะนำสำหรับผู้เขียน 2025-11-29T16:09:02+07:00 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี mscjournal.sru@gmail.com <p>คำแนะนำสำหรับผู้เขียน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/296011 รายนามผู้ทรงคุณวุฒิที่พิจารณาบทความ 2025-11-29T16:13:57+07:00 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี mscjournal.sru@gmail.com <p>รายนามผู้ทรงคุณวุฒิ</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/270252 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการตัดสินใจซื้อ และความสอดคล้องจากการทำนายพฤติกรรมการซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ในจังหวัดน่าน โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ 2024-04-10T16:23:24+07:00 กัญญ์ณพัชญ์ ดวงแก้ว duangsamorn.d@rmutl.ac.th ขนิษฐา หอมจันทร์ kanithahomjun@rmutl.ac.th วรวิทย์ ฝั้นคำอ้าย worawit@rmutl.ac.th ศิริลักษณ์ แก้วศิริรุ่ง siriluxk@rmutl.ac.th นงนุช เกตุ้ย nongnuchketui@rmutl.ac.th <p>จังหวัดน่านเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวเป็นอย่างมาก การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทราบข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดน่าน ศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในการเลือกซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดในการตัดสินใจซื้อ และเปรียบเทียบข้อมูลจากแบบสอบถามกับการทำนาย โดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และวิเคราะห์กฎความสัมพันธ์โดยวิธีอัลกอริทึมอาพริโอริเพื่อทำนายพฤติกรรมการซื้อ กลุ่มตัวอย่าง คือนักท่องเที่ยวจำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบไคสแควร์ ผลการศึกษาพบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ซื้อสินค้า OTOP เพื่อการอุปโภคและบริโภคโดยมีความสนใจกับการส่งเสริมการตลาดในรูปแบบการลดราคาแบบเปอร์เซ็นต์หรือเป็นจำนวนเงินมากที่สุด ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสูงที่สุด คือ ด้านการส่งเสริมการขาย ผลการทดสอบความสัมพันธ์โดยใช้ Pearson Chi-Square ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 เปรียบเทียบข้อมูลจากแบบสอบถามกับการทำนายประเภทของสินค้าที่เลือกซื้อโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ พบว่า สินค้าประเภทอาหารและขนมขบเคี้ยว ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและสมุนไพร และเครื่องดื่ม มีความสอดคล้องกันประเภทละ 1 รายการ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ผ้าทอและเครื่องแต่งกายไม่พบความสอดคล้อง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย คือ ผู้ประกอบการควรนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบรูปแบบการส่งเสริมการขายที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภค จุดเด่นของงานวิจัยนี้ คือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์โดยใช้กฎความสัมพันธ์วิธีอัลกอริทึมอาพริโอริ (Apriori Algorithm) ในการทำนายพฤติกรรมการซื้อ ซึ่งสามารถนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/274488 การวิเคราะห์องค์ประกอบคุณภาพการให้บริการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการขนส่งสินค้าเอกชนในกรุงเทพมหานคร ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าซ้ำผ่านช่องทางออนไลน์ 2024-04-01T14:21:34+07:00 รุจิภาส ประชาทัย rujipas.p@mail.rmutk.ac.th กฤษณา กิมเล่งจิว krisana.k@mail.rmutk.ac.th ประสพชัย พสุนนท์ PASUNON_P@SU.AC.TH ณ.ชนม์ ประยูรวงศ์ nachon.p@mail.rmutk.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกใช้บริการการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการขนส่งสินค้าเอกชน และเพื่อศึกษาอิทธิพลของปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ซ้ำของลูกค้า ในเขตกรุงเทพมหานคร ในบริบทภายหลังการคลี่คลายตัวลงของสถานการณ์โควิด-19 กลุ่มตัวอย่าง คือผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าเอกชนในเขตกรุงเทพ มหานคร จำนวน 400 คน สกัดปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจในการใช้บริการการขนส่งสินค้าด้วยวิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ ได้ 5 ปัจจัย ได้แก่ 1) ปัจจัยด้านภาพลักษณ์และความเป็นมืออาชีพ 2) ปัจจัยด้านการสร้างความเชื่อมั่นในงานบริการ 3) ปัจจัยด้านการตอบสนองอย่างรวดเร็ว 4) ปัจจัยด้านการมีหัวใจในการให้บริการ และ 5) ปัจจัยด้านการใส่ใจในรายละเอียดของลูกค้า จากนั้นศึกษาอิทธิพลของปัจจัยที่มีต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าซ้ำผ่านช่องทางออนไลน์ของลูกค้าด้วยการวิเคราะห์โลจิสติกส์ทวิ พบว่า ปัจจัยด้านภาพลักษณ์และความเป็นมืออาชีพ ปัจจัยด้านการสร้างความเชื่อมั่นในงานบริการ และปัจจัยด้านการตอบสนองอย่างรวดเร็ว เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ซ้ำอย่างมีนัยสำคัญ จากผลการศึกษาผู้ให้บริการขนส่งสินค้าควรสร้างภาพลักษณ์ของงานบริการที่ดีให้เกิดขึ้นในสายตาลูกค้า ผ่านทางการให้บริการที่เชื่อมั่นในคุณภาพของการขนส่ง รวมถึงความรวดเร็วในการขนส่งสินค้าเป็นสำคัญ จึงจะทำให้เกิดการใช้บริการซ้ำได้ในอนาคต การศึกษาวิจัยนี้มีข้อจำกัด คือ เป็นการศึกษาแบบตัดขวางที่ศึกษาเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้าซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลาในบริบทที่แตกต่างออกไป รวมถึงพื้นที่ทำการศึกษายังคงเป็นพื้นที่ภายในกรุงเทพมหานคร</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/275751 ปัจจัยด้านคุณภาพบริการที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย สาขาแม่สาย 2 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 2024-07-25T10:47:27+07:00 อัจจิมา เมืองก้อนกาศ 658806013@crru.ac.th อรกัญญา กันธะชัย nkunthachai@gmail.com <p>ด้วยสถานการณ์การแข่งขันธนาคารต้องพัฒนาการให้บริการเพื่อสร้างความประทับใจแก่ผู้ใช้บริการ สามารถตอบสนองความต้องการผู้ใช้บริการได้อย่างสูงสุด ผู้วิจัยศึกษาปัจจัยด้านคุณภาพบริการที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย สาขาแม่สาย 2 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีวัตถุ ประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านประชากร ศาสตร์ ปัจจัยด้านคุณภาพบริการและความภักดีของลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย สาขาแม่สาย 2 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย และ 3) ศึกษาปัจจัยด้านคุณภาพบริการที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล จำนวน 400 ตัวอย่าง นำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบหาความแตกต่างด้วยค่าทดสอบที ค่าทดสอบเอฟ และทดสอบหาค่าความสัมพันธ์ ด้วยการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นแบบพหุ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 31- 40 ปี ระดับการศึกษามัธยมศึกษา อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท คุณภาพบริการของธนาคารกสิกรไทยโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ที่แตกต่างกัน ทำให้ความภักดีของลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ปัจจัยด้านคุณภาพบริการที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ได้แก่ ความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจได้ การให้ความมั่นใจ การดูแลเอาใจใส่ลูกค้าเป็นรายบุคคล ความเป็นรูปธรรมของบริการ และการตอบสนองความต้องการ ตามลำดับ</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/281812 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อเครื่องฟอกอากาศของผู้บริโภคในประเทศไทย 2024-12-02T13:21:55+07:00 ชุติสร เรืองนาราบ chutisorn@rmutl.ac.th วนิดา พิมพ์โคตร pimvanida@live.com <p>มลภาวะทางอากาศที่มากขึ้นในปัจจุบันเครื่องฟอกอากาศจึงเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดสิ่งปนเปื้อนในอากาศให้น้อยลง การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อเครื่องฟอกอากาศของผู้บริโภคในประเทศไทย โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริ มาณด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลในเชิงสำรวจด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่างที่เลือกแบบเจาะจงจากผู้บริโภคที่เคยซื้อหรือวาง แผนที่จะซื้อเครื่องฟอกอากาศที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย จำนวน 500 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ และวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อเครื่องฟอกอากาศ ด้วยสมการโครงสร้าง (Structural Equation Modeling: SEM) ผลการวิจัยพบว่า ความตระหนักถึงผลกระทบของมลพิษทางอากาศต่อสุขภาพและความรู้เกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศ เป็นปัจจัยที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อความตั้งใจซื้อเครื่องฟอกอากาศผ่านทัศนคติของผู้บริโภคต่อเครื่องฟอกอากาศ สำหรับส่วนประสมทางการตลาด 7Ps มีเพียงปัจจัยด้านราคาที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อความตั้งใจซื้อเครื่องฟอกอากาศการศึกษาวิจัยในครั้งนี้แตกต่างจากงานวิจัยก่อนหน้า ในส่วนของปัจจัยที่ใช้ในการศึกษาที่สะท้อนความสัมพันธ์ในการตัดสินใจซื้อผลิต ภัณฑ์เครื่องฟอกอากาศ นำไปสู่การพัฒ นาคุณลักษณะและคุณสมบัติของผลิต ภัณฑ์ให้ตอบสนองได้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/275725 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อเนื้อสุกรจากร้านที่มีตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร 2024-10-03T09:40:04+07:00 กฤตยาพร คชหาญ krittayaphon.k@ku.th ชญาดา ภัทราคม chayada.b@ku.th สุวรรณา สายรวมญาติ suwanna.s@ku.th บวร ตันรัตนพงศ์ borworn.t@ku.th <p>ปัจจุบันการบริโภคเนื้อสุกรอาจได้รับความเสี่ยงมีสาเหตุจากโรคระบาด การปนเปื้อนของเชื้อโรค หรือการใช้สารเคมีในกระบวนการเลี้ยง ส่งผลให้ผู้บริโภคคำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยมากขึ้น ทั้งนี้กรมปศุสัตว์ได้จัดตั้งโครงการตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK ขึ้น เพื่อรับรองสถานที่จำหน่ายเนื้อสัตว์ให้เป็นไปตามมาตรฐานและความปลอดภัย การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษาการรับรู้ตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK ของผู้บริโภค รวมถึงวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเนื้อสุกรสดจากร้านที่มีตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง จำนวน 279 คน ในพื้นที่ตลาดสดกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริโภคเคยเห็นและรู้จักตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK คิดเป็นร้อยละ 15.10 ภายหลังจากการได้รับข้อมูลเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK พบว่า ผู้บริโภคจะเปลี่ยนมาซื้อเนื้อสุกรจากร้านที่มีตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK อย่างแน่นอนร้อยละ 73.10 ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้อเนื้อสุกรสด จากร้านที่มีตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK ได้แก่ ปัจจัยด้านพฤติกรรมในการสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK ปัจจัย การรับรู้ความเสี่ยงด้านการลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรเถื่อน ความรู้ความเข้าใจด้านความเสี่ยง และปัจจัยด้านทัศนคติที่มีต่อตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์ OK ดังนั้น เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงร้านจำหน่ายเนื้อสุกรที่มีตราสัญ ลักษณ์ปศุสัตว์ OK ได้อย่างทั่วถึง กรมปศุสัตว์ควรให้การสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภครู้จัก รวมถึงสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการเลี้ยงและจำหน่ายเนื้อสุกรได้ตระหนักถึงความสำคัญด้านอาหารปลอดภัยมากขึ้น</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/276055 การรับรู้การสนับสนุนจากหัวหน้างาน: กลไกสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ความผูกพันในงาน และผลการปฏิบัติงานของพนักงานในองค์กร 2024-07-01T11:46:39+07:00 วรสันต์ ถาวรประเสริฐ worasan.th@skru.ac.th อริสรา ถาวรประเสริฐ aritsara.ch@skru.ac.th <p>แม้งานวิจัยก่อนหน้าจะแสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีส่วนช่วยปรับปรุงผลการปฏิบัติงานของพนักงาน แต่การอธิบายเกี่ยวกับกลไกทางจิตวิทยาและเงื่อนไขกำกับในความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับผลการปฏิบัติงานของพนักงานยังคงมีอยู่จำกัด โดยเฉพาะกับบริบทขององค์กรในประเทศไทย การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ตรวจสอบบทบาทของความผูกพันในงานในฐานะตัวแปรส่งผ่านความสัมพันธ์ระหว่างการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับผลการปฏิบัติงานของพนักงาน และ 2) ตรวจสอบบทบาทของการรับรู้การสนับสนุนจากหัวหน้างานในฐานะตัวแปรกำกับในความสัมพันธ์ดังกล่าว โดยอาศัยทฤษฎีการแลกเปลี่ยนทางสังคมเป็นฐานในการอธิบายความสัมพันธ์ งานวิจัยเป็นแบบกรณีศึกษา ซึ่งทำ การเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามกับพนักงานประจำของบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชั้นนำแห่งหนึ่งของไทย จำนวน 108 คน ผลการวิเคราะห์เชิงสาเหตุด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง พบว่า การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ส่งผลเชิงบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนัก งานผ่านความผูกพันในงานของพนักงานนอก จากนั้นการรับรู้การสนับสนุนจากหัวหน้างานยังพบว่า มีส่วนช่วยให้อิทธิพลของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่มีต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานผ่านความผูกพันในงานแข็งแกร่งมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพนักงานมีการรับรู้การสนับ สนุนจากหัวหน้างานอยู่ในระดับสูง งานวิจัยนี้ได้แสดงหลักฐานและเน้นย้ำถึงความสำคัญของหัวหน้างานในการมีส่วนช่วยยกระดับผล ลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของพนักงาน ซึ่งผู้บริหารควรบูรณาการแผนงานด้านการพัฒ นาทรัพยากรมนุษย์ขององค์กรและกลไกในการสนับสนุนของหัวหน้างาน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงความผูกพันในงานและผลการปฏิบัติงานของพนักงาน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/277604 อิทธิพลของความเครียดในที่ทำงานที่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างความยืดหยุ่นขององค์กรกับผลการปฏิบัติงานของบุคลากร 2024-09-20T14:50:23+07:00 พิชญา ตันติอำไพวงศ์ pichaya@mut.ac.th สันติธร ภูริภักดี santidhorn@yahoo.com <p>การทำงานในยุคปัจจุบันองค์กรต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ต่างๆ การเข้าใจถึงบทบาทเรื่องอิทธิพลความเครียดในที่ทำงานจะสามารถช่วยให้องค์กรพัฒนากลยุทธ์เพื่อผลการปฏิบัติงานที่ดีของพนักงานในองค์กร การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์อิทธิพลของความยืดหยุ่นขององค์กรต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ พนักงานระดับปฏิบัติงานในองค์กรเอกชน จำนวน 156 คน เครื่องมืองานวิจัยนี้ ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์หาความสัมพันธ์เพียร์สัน การวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย และการวิเคราะห์อิทธิพลของตัวแปรด้วยการถดถอยเชิงพหุคุณ ผลการวิจัยเรื่องความเครียดในการทำงาน ความยืดหยุ่น และผลการปฏิบัติงาน พบว่า 1) ความยืดหยุ่นขององค์กรมีผลเชิงบวกต่อผลการปฏิบัติงาน 2) ความเครียดในการทำงานที่มีผลทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างความยืดหยุ่นขององค์กรกับผลการปฏิบัติงานเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ สามารถนำประโยชน์จากงานวิจัยข้อเสนอแนะการวิจัยในอนาคตเป็นแนวทางในการปรับปรุงพัฒนาองค์กรให้เป็นรูปแบบองค์กรแห่งความยืดหยุ่นที่ ในปัจจุบันต้องเผชิญปัญหา แก้ไขปัญหาสถานการณ์ วิกฤตที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ที่บ่งบอกถึงการจัดการกับความเครียดในการทำงานของพนักงานและความยืดหยุ่นขององค์กร จะเป็นประโยชน์ต่อประสิทธิภาพและความยั่งยืนขององค์กร สร้างกลยุทธ์ เพื่อการดำเนินงานขององค์กรธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและ มีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคตได้</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/277510 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นถิ่นเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ กลุ่มทอผ้าด้ายมัดหมี่ อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา 2024-09-20T14:16:00+07:00 ภมรย์ สกุลเลิศวัฒนา pamorn_sak@vu.ac.th บารมี วรรณพงศ์เจริญ baramee_wan@vu.ac.th พิชญา วรรณพงศ์เจริญ phitchaya.w@nrru.ac.th จอมภัค จันทะคัต chomphak_jan@vu.ac.th <p>การทอผ้าเป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความชำนาญและความประณีต ผู้ผลิตยังขาดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยังคงผลิตในรูปแบบเดิม การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสังเคราะห์แนวทางการพัฒนาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นถิ่นของกลุ่มทอผ้าด้ายมัดหมี่ อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ด้วยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และลงมือปฏิบัติการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และใช้การวิจัยเชิงคุณภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มผู้ให้ข้อมูลประกอบด้วย สมาชิกกลุ่มทอผ้าด้ายมัดหมี่บ้านหนองเดิ่น เจ้าหน้าที่พัฒนากรตำบลกระทุ่มราย ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลกระทุ่มราย และผู้ประกอบการร้านจำหน่ายผ้าในท้องถิ่น จำนวน 18 ราย เลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีเจาะจงและวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT Analysis) และสังเคราะห์แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วย TOWS Matrix เพื่อให้ได้แนวทางการพัฒนาที่มีความสอดคล้องกับสภาพการดำเนินงานของกลุ่มผู้ทอผ้าและชุมชน ผลการศึกษาได้แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ 2 แนวทาง คือ 1) การพัฒนาลวดลายที่มีเอกลักษณ์ท้องถิ่น 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีความแตกต่างจากท้องตลาด โดยนำลักษณะและรูปทรงของดอกกระทุ่มที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนมาออกแบบสร้างสรรค์เป็นลวดลายผ้ามัดหมี่ สำหรับการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผ้าทอได้ผลิตภัณฑ์ในรูปแบบ 1) หมวก Bucket 2) กระเป๋า Tote Bag พร้อมกระเป๋าถือ Clutch Bag 3) พวงกุญแจ และ 4) หมอนอิงผ้ามัดหมี่ ซึ่งสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนให้เกิดขึ้นในชุมชน เกิดการพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงการเกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/279100 การพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรมบ้านปากกะหลาง ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี 2024-10-03T10:47:04+07:00 กุลวดี ละม้ายจีน kulvadee.l@ubru.ac.th เนียนนิภา สำเนียงเสนาะ Niannipa.s@ubru.ac.th สถาพร สิริโอภาคำ Sathaporn.y@ubru.ac.th <p>การศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรมบ้านปากกะหลาง ตำบลสองคอน อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาศักยภาพของชุมชนในการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรม 2) เพื่อออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรม และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรมบ้านปากกะหลาง การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยแบบวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือภาคีที่เกี่ยวข้องในกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรม จำนวน 20 คน และนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า 1) ศักยภาพของชุมชนในการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรม ชุมชนมีทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมที่โดดเด่น มีความสามารถในการพึ่งพาตนเองและเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการพื้นที่ อย่างไรก็ตามยังขาดความรู้ด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ รวมทั้งทักษะในการเล่าเรื่อง ขาดการทำการตลาดทางการท่องเที่ยว และต้องการการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ 2) การออกแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรมของชุมชนมี 5 กิจกรรม ได้แก่ ผ้ามัดย้อมสีเปลือกไม้ ขันหมากเบ็ง ข้าวต้มมัดแม่น้ำโขง เกษตรริมโขง และประมงริมโขง 3) แนวทางการพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์บนฐานวัฒนธรรมมีทั้งหมด 5 แนวทาง ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพนักเล่าเรื่อง การพัฒนาการมีส่วนร่วม การพัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ การพัฒนาการสร้างเรื่องราวทางการท่องเที่ยว และการพัฒนาการตลาด</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/278031 การศึกษาแรงจูงใจและพฤติกรรมการมีส่วนร่วมพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านเคียน อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต 2024-09-02T14:26:33+07:00 กนกวรรณ แก้วอุไทย kanokwan.t@pkru.ac.th สุทธิณี พรพันธุ์ไพบูลย์ suttinee.p@pkru.ac.th เบญจพร แก้วอุไทย benjaporn.k@pkru.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจและพฤติกรรมการมีส่วนร่วมพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านเคียน อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต รวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถามกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยว จำนวน 37 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐาน ร้อยละ และการวิเคราะห์การถดถอยแบบพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า สมาชิกกลุ่มส่วนใหญ่มีแรงจูงใจในการมีส่วนร่วมด้านความสัมพันธ์ ความรักและความเป็นเจ้าของมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด สมาชิกกลุ่มมีพฤติกรรมการให้ความช่วยเหลือด้านการปฏิบัติงานแทนสมาชิกท่านอื่นด้วยความเต็มใจมีค่าเฉลี่ยสูงสุด มีพฤติกรรมด้านการมีส่วนร่วมด้านการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างซึ่งกันและกัน ซึ่งมีค่าเท่ากันกับด้านการร่วมประชาสัมพันธ์กลุ่มการท่องเที่ยว และมีพฤติกรรมด้านการรับผิดชอบต่อหน้าที่ คือ การปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โดยปัจจัยแรงจูงใจที่ส่งผลต่อพฤติกรรมพบว่า แรงจูงใจด้านความสัมพันธ์ความรักและความเป็นเจ้าของ และแรงจูงใจด้านความเคารพต่อตัวเอง ส่งผลต่อพฤติกรรมการให้ความช่วยเหลือ แรงจูงใจด้านความปลอดภัย และแรงจูงใจด้านความเคารพต่อตัวเอง ส่งผลต่อพฤติกรรมการให้ความร่วมมือ แรงจูงใจด้านความสัมพันธ์ ความรักและความเป็นเจ้าของ ส่งผลต่อพฤติกรรมการร่วมรับผิดชอบที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ผลการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปเป็นต้นแบบในการพัฒนาชุมชนท่องเที่ยวที่เริ่มพัฒนาในจังหวัดภูเก็ต หากแต่ในเชิงนโยบายยังมีข้อจำกัดด้านการส่งเสริมกลุ่มแบบต่อเนื่อง ดังนั้น นักจัด การชุมชน องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเข้ามามีส่วนร่วมส่งเสริมและสนับสนุนชุมชนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นชุมชนต้นแบบที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/275361 การวิเคราะห์ความผันผวนของราคาปาล์มน้ำมันในประเทศไทย 2024-04-01T11:54:21+07:00 อทิตยา วีระศิลป์ athittaya.we@gmail.com ศิริขวัญ เจริญวิริยะกุล sirikwan.ja@ku.th <p>ราคาปาล์มน้ำมันมีความผันผวนขึ้นอยู่กับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ในช่วงวิกฤตขาดแคลนน้ำมันปาล์มราคาปาล์มน้ำมันจะสูงขึ้น แต่ในช่วงเวลาปกติราคาอาจลดลงหรือคงที่ ดังนั้น เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนการปลูกปาล์มน้ำมันให้แก่เกษตรกร งานวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความผันผวนของราคาปาล์มน้ำมันในประเทศ ไทย 7 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดกระบี่ จังหวัดชุมพร จังหวัดตรัง จังหวัดสตูล จังหวัดชลบุรี และจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยใช้ข้อมูลรายวันรวบรวมโดยกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560-เดือนพฤศจิกายน 2566 รวมทั้งหมด 1,652 วัน ผลการศึกษาพบว่า ความผันผวนของราคาปาล์มน้ำมันในประเทศไทย 7 จังหวัด สามารถอธิบายได้ด้วยความผันผวนของราคาปาล์มน้ำมันในอดีตและเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในอดีต โดยความผันผวนของราคาปาล์มน้ำมันในอดีตสามารถอธิบายได้มากกว่าเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในอดีต ความผันผวนของราคาปาล์มน้ำมันในอดีตส่งผลกระทบต่อราคาปาล์มน้ำมันในจังหวัดตรังมากที่สุด รองลงมา คือ จังหวัดสตูล จังหวัดชลบุรี จังหวัดนครศรีธรรมราช และกระทบจังหวัดชุมพรน้อยที่สุด ส่วนเหตุการณ์ที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ในอดีตส่งผลกระทบต่อราคาปาล์มน้ำมันในจังหวัดชุมพรมากที่สุด รองลงมา คือ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดกระบี่ จังหวัดสตูล และกระทบจังหวัดนครศรีธรรมราชน้อยที่สุด การศึกษาผลตอบแทนเฉลี่ยและความเสี่ยงจากการลงทุนปลูกปาล์มน้ำมัน พบว่า จังหวัดตรังมีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงที่สุด แต่ไม่ใช่จังหวัดที่มี ความเสี่ยงจากการปลูกปาล์มน้ำมันสูงที่สุด ทั้งนี้ เนื่องจากลักษณะพื้นที่ในจังหวัดตรังมีความเหมาะสมในการปลูกปาล์มน้ำมัน ส่งผลให้คุณภาพผลผลิตและผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ในระดับสูง</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msj/article/view/266453 ความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ในการลงทุนสร้างโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากขมิ้นชันในจังหวัดสุราษฎร์ธานี 2023-07-20T10:13:10+07:00 ณัชชารีย์ ทวีหิรัญรัฐกิจ luckyboy.dods@gmail.com มโนลี ศรีเปารยะ เพ็ญพงษ์ ma_mai1234@hotmail.com พัชรินทร์ เพชรช่วย patcharin.phe@sru.ac.th <p>การสร้างโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากขมิ้นชันเป็นการช่วยยกระดับการผลิตขมิ้นชันให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นและ ได้มาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งสามารถช่วยยกระดับรายได้และคุณ ภาพชีวิตของเกษตรกรให้ดีขึ้นได้ บทความนี้เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐ ศาสตร์ในการสร้างโรงงานแปรรูปขมิ้นชันในจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประมาณการต้นทุนผลตอบแทนและศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ โดยการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกจากผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ขมิ้นชัน 5 รายในพื้นที่ ด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ผลด้วยการวิเคราะห์โครงการทางเศรษฐศาสตร์ โครงการนี้ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 7.3 ล้านบาท อายุโครง การ 20 ปี ผลการวิเคราะห์ พบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ 25,284,434.16 บาท อัตราผลตอบแทนภายในโครงการ (IRR) เท่ากับร้อยละ 40 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อต้นทุน (BCR) เท่ากับ 1.76 เท่า และระยะเวลาคืนทุน (PB) เท่ากับ 3.95 ปี จึงสรุปได้ว่าโครงการมีความเป็นไปได้ในการลงทุน การวิเคราะห์ความไหวทางเศรษฐศาสตร์พบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิยังคงเป็นบวกแม้ราคาขมิ้นชันเพิ่มขึ้น 100% ต้นทุนการผลิต (ยกเว้นวัตถุดิบ) เพิ่มขึ้น 30% หรือรายได้ลดลง 30% ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งสองปัจจัยพร้อมกัน มูลค่าปัจจุบันสุทธิจะเป็นลบเฉพาะกรณีที่รายได้ลดลง 30% และต้นทุนการผลิต (ยกเว้นวัตถุดิบ) เพิ่มขึ้น 30% ผลการศึกษานี้สามารถเป็นข้อมูลสำคัญให้รัฐพิจารณาสนับสนุนการจัดสร้างโรงงานแปรรูปขมิ้นชันของเกษตรกร เพื่อช่วยยกระดับมาตรฐานการครองชีพของเกษตรกรอย่างยั่งยืน</p> 2025-12-01T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี