วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru
<p><strong>วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์ </strong>เปิดรับบทความวิจัยเต็มรูปแบบ (Full Paper) และบทความวิชาการ (Academic Article) จากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยวารสารจะรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p>บทความที่นําเสนอในวารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์ ประกอบด้วยศาสตร์ทางด้านบริหารธุรกิจ การจัดการ เศรษฐศาสตร์ บัญชีการเงิน การท่องเที่ยว ทรัพยากรมนุษย์ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ และศาสตร์อื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับบริหารธุรกิจ</p> <p>บทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยเผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และเป็นข้อคิดเห็นของผู้ส่งบทความเท่านั้น โดยบทความจะต้องผ่านการตรวจสอบการลอกเลียนวรรณกรรมทางวิชาการไม่เกิน 10%</p>
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
th-TH
วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
3027-8015
-
ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา: ทางเลือกใหม่ระบบการเงินไทย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/283626
<p>บทความวิชาการนี้เป็นการนำเสนอการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดในปัจจุบันเกิดจากการก่อกำเนิดของอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกจากระบบการทำธุรกรรมในรูปแบบอนาล็อกสู่ระบบดิจิทัล ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมมนุษย์ ระบบเศรษฐกิจ และสังคมโดยรวม ธนาคารพาณิชย์เองก็ไม่พ้นต้องปรับตัวจากการดำเนินธุรกิจแบบสาขา (Bricks and Mortar) สู่การให้บริการในรูปแบบธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา (Virtual Bank) ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงผ่านเทคโนโลยีดิจิทัล เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ โดยรูปแบบการให้บริการนี้มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดสำหรับผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ เช่น สามารถใช้บริการได้ทุกที่ทุกเวลา ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ใช้บริการ ลดต้นทุนด้านการจ้างงานและค่าเช่าพื้นที่สำหรับผู้ให้บริการ ขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มรากหญ้าที่มีฐานะยากจน กลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) กลุ่มคนที่ไม่ได้รับบริการทางการเงินอย่างเพียงพอ (Underserved) กลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน (Unserved) และกลุ่มประชาชนที่เป็นหนี้นอกระบบ ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ให้บริการไม่ต่ำกว่า 3 ราย ภายในปี พ.ศ. 2569 เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในระบบการเงินของไทย</p>
ชญาพัฒน์ เลิศอำนาจกิจเสรี
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
กรณีศึกษาหมูเด้ง: การตลาดดิจิทัลที่สร้างไวรัลสู่เวทีโลกและผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ-สิ่งแวดล้อม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284507
<p>บทความวิชาการนี้เป็นการนำเสนอกรณีศึกษาปรากฏการณ์ "หมูเด้ง" ฮิปโปแคระจากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จังหวัดชลบุรีได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในระดับสากลผ่านการตลาดดิจิทัล โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่ใช้ความน่ารักและกลยุทธ์การตลาดที่ใช้มีมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ความน่ารักและเสน่ห์เฉพาะตัวได้ถูกถ่ายทอดผ่าน คอนเทนต์สร้างสรรค์ จนกลายเป็นไวรัลทั่วโลกที่สามารถสร้างการรับรู้แบรนด์ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จในเชิงการตลาดดิจิทัล พร้อมทั้งชี้ให้เห็นผลเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม โดยปรากฏการณ์หมูเด้งช่วยเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดชลบุรีถึง 4 เท่า ส่งผลให้ยอดรวมครึ่งปีหลัง 2567 สูงถึง 1.4 ล้านคน และคาดว่ายอดรวมทั้งปี 2568 อาจแตะ 2.5 ล้านคน ผลการวิเคราะห์ทางสถิติชี้ให้เห็นว่ามีค่าสหสัมพันธ์สูงระหว่างการเติบโตของจำนวนผู้เข้าชมกับการใช้กลยุทธ์ UGC และ Meme Marketing นอกจากนี้ รายได้จากค่าตั๋วและสินค้าที่ระลึกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คิดเป็นมูลค่า 12.9 ล้านบาทภายใน 19 วัน กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้หมูเด้งประสบความสำเร็จของการตลาดดิจิทัล ได้แก่ การสร้างคอนเทนต์แบบเรียลไทม์, การใช้แฮชแท็กสร้างสรรค์ และการสื่อสารผ่าน Live Streaming ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง 1) ด้านเศรษฐกิจการตลาดดิจิทัลผ่านการเล่าเรื่องช่วยส่งเสริมรายได้ให้ธุรกิจท้องถิ่น เช่น สถาบันการเงิน โรงแรม และร้านค้า ช่วยส่งผลเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 2) ด้านสิ่งแวดล้อมสร้างความผูกพันกับแบรนด์พร้อมส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการตลาดดิจิทัลแสดงถึงความจงรักภักดี (Brand Loyalty) หมูเด้งเป็นตัวแทนของความสำเร็จในโครงการอนุรักษ์สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ สร้างความตระหนักรู้แก่สาธารณชนเล็งเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์สัตว์ป่า ผลการศึกษาของบทความนี้ชี้ให้เห็นว่า กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ทำให้ "หมูเด้ง" ประสบความสำเร็จ การตลาดดิจิทัลที่มีเนื้อหาโดดเด่นและสร้างสรรค์ไม่เพียงช่วยสร้างกระแสไวรัลอย่างยั่งยืน แต่ยังเพิ่มมูลค่าให้กับแบรนด์ในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
ลฎาภา ณภาศิริ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
กลยุทธ์การตลาดออนไลน์เพื่อการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/281980
<p><span style="font-weight: 400;">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์แปรรูปมะพร้าว และ 2) ศึกษากลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ในการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์มะพร้าว การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพโดยทำการเก็บกลุ่มตัวอย่างจากผู้ประกอบการกิจการมะพร้าวในไทย จำนวน 10 ราย ผู้วิจัยได้ทำการคัดเลือกเว็บไซด์ที่มีผู้ติดตามหรือมีฐานลูกค้าจำนวน 100 คนขึ้นไป โดยใช้วิธีการเก็บรวบรวมแบบสัมภาษณ์จากผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลใช้ 3 วิธี คือ การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) การวิเคราะห์เนื้อหาทางดิจิทัล (Digital Content Analysis) และการสำรวจพฤติกรรมลูกค้า (Customer Behavior Survey) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (Content Analysis) ซึ่งเป็นการจำแนกและตีความข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์และข้อมูลออนไลน์ โดยกระบวนการวิเคราะห์ประกอบด้วย การจัดหมวดหมู่ข้อมูลตามหัวข้อที่กำหนด การสรุปประเด็นหลักและแนวโน้มที่เกิดขึ้นจากการตลาดออนไลน์ของผู้ประกอบการ และการเปรียบเทียบกับแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่สามารถนำไปใช้ได้จริง</span></p> <p><span style="font-weight: 400;">ผลวิจัยพบว่า 1) ผู้ประกอบการมะพร้าวส่วนใหญ่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ของตนเองได้หลากหลายรูปแบบ 2) การใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์เพื่อเพิ่มมูลค่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการใช้ตลาดออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการขายสินค้า โดยแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3) ความไว้วางใจในตลาดออนไลน์ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เชื่อมั่นในระบบตลาดออนไลน์ เนื่องจากมีระบบหลังบ้านที่ช่วยอำนวยความสะดวก 4) ความภักดีอิเล็กทรอนิกส์ (E-Loyalty) 5) ความท้าทายและโอกาสในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดออนไลน์ ผู้ประกอบการที่สามารถปรับตัวและใช้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และขยายฐานลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง</span></p>
กษิติธร อัศวพงศ์วาณิช
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
การตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ที่ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อชุดกีฬาของผู้บริโภคในกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/283359
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ และระดับกระบวนการตัดสินใจซื้อชุดกีฬาของผู้บริโภคในกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์ และเพื่อศึกษาระดับการส่งผลของการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อชุดกีฬาของผู้บริโภคในกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริโภคชุดกีฬาออนไลน์ในกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์ ประกอบด้วย จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ ที่มีประสบการณ์ในการสั่งซื้อชุดกีฬาบนสื่อสังคมออนไลน์ เก็บรวบรวมกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 384 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม (Questionnaire) สถิติที่ใช้ในการวิจัย การหาความถี่ และค่าร้อยละ ระดับการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ และระดับกระบวนการตัดสินใจซื้อใช้วิธีการหาค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สำหรับการทดสอบสมมติฐานใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบปกติ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุต่ำกว่า 30 ปี มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี สถานภาพโสด รายได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง ต่ำกว่า 15,000 บาท ส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายซื้อชุดกีฬาต่ำกว่า 1,000 บาท โดยราคาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซื้อชุดกีฬา และรับรู้ข้อมูลชุดกีฬาทาง Facebook มากที่สุด 2) ผู้บริโภคมีความคิดเห็นต่อระดับการตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ของธุรกิจชุดกีฬาด้านความนิยมมากที่สุด รองลงไป ได้แก่ ด้านความเฉพาะเจาะจง ด้านความบันเทิง ด้านการปฏิสัมพันธ์ และด้านการตลาดแบบปากต่อปาก ตามลำดับ และมีความคิดเห็นต่อระดับกระบวนการตัดสินใจซื้อด้านการตระหนักถึงความต้องการมากที่สุด รองลงไป ได้แก่ ด้านพฤติกรรมหลังการซื้อ ด้านการเสาะแสวงหาข่าวสาร ด้านการประเมินทางเลือก และด้านการตัดสินใจซื้อ ตามลำดับ และ 3) การตลาดบนสื่อสังคมออนไลน์ด้านการปฏิสัมพันธ์ ด้านความนิยม ด้านความเฉพาะเจาะจง และด้านการตลาดแบบปากต่อปาก ส่งผลต่อกระบวนการตัดสินใจซื้อชุดกีฬาในภาพรวมของผู้บริโภคในกลุ่มจังหวัดศรีบุรินทร์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 โดยตัวพยากรณ์ที่ทำนายได้ดีที่สุด ได้แก่ ด้านความเฉพาะเจาะจง</p>
นพรัตน์ ศรีพรม
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้า วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/283794
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด และการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ (7Ps) ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ใช้บริการของของห้างสรรพสินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง จำนวน 385 คน โดยการคำนวณจากตารางสำเร็จรูปของ W.G.Cochran กำหนดค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 95 และวิธีการสุ่มแบบระบบ ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงสถิติเชิงอนุมาน โดยใช้ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดบริการ 7Ps และการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง โดยภาพรวมอยู่ในระดับเห็นด้วยมาก จากสมมติฐานส่วนปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ (7Ps) ได้แก่ ด้านราคา ด้านการส่งเสริมทางการตลาด ด้านบุคคล ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในห้างสรรพสินค้าวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างแห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีอำนาจการทำนายร้อยละ 67.00</p>
ปิยธิดา ศรีศักดา
ธนภัทร ขาววิเศษ
ศรัณย์ วงษ์หิรัญ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
ปัจจัยทัศนคติผู้ใช้บริการและการสื่อสารการตลาดดิจิทัลที่มีผลต่อการกลับมาใช้บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ของธนาคารพาณิชย์ในจังหวัดเชียงใหม่
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284048
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยทัศนคติผู้ใช้บริการที่มีผลต่อการกลับมาใช้บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ของธนาคารพาณิชย์ในจังหวัดเชียงใหม่ และ 2) ศึกษาการสื่อสารการตลาดดิจิทัลที่มีผลต่อการกลับมาใช้บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ของธนาคารพาณิชย์ในจังหวัดเชียงใหม่ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้จดทะเบียนรถยนต์ของจังหวัดเชียงใหม่ 400 คน โดยสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยทัศนคติผู้ใช้บริการมีผลต่อการกลับมาใช้บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ของธนาคารพาณิชย์ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยรวมที่ร้อยละ 32.90 ได้แก่ ด้านประสบการณ์ ด้านการตอบสนอง ด้านการรับรู้ และด้านแนวโน้มพฤติกรรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยที่ไม่มีผลต่อการกลับมาใช้บริการคือ ด้านความเชื่อส่วนบุคคล ผลการศึกษาการสื่อสารการตลาดดิจิทัลมีผลต่อการกลับมาใช้บริการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ของธนาคารพาณิชย์ในจังหวัดเชียงใหม่ โดยรวมที่ร้อยละ 34.40 ได้แก่ ด้านการตลาดเชิงเนื้อหา และการตลาดผ่านระบบค้นหาข้อมูล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนด้านที่ไม่มีผล คือ ด้านการตลาดผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ การตลาดโดยใช้เว็บไซต์ ไม่มีผลต่อการกลับมาใช้บริการ ผู้ให้บริการจึงควรให้ความสำคัญกับปัจจัยทัศนคติด้านประสบการณ์ให้ผู้ใช้บริการพึงพอใจและจงรักภักดี และมุ่งเน้นการสื่อสารการตลาดเชิงเนื้อหาบนออนไลน์ที่สร้างการโน้มน้าวและกระตุ้นการตัดสินใจกลับมาใช้บริการได้มากที่สุด</p>
พรพรรณ จันทร์มะโน
ฑัตษภร ศรีสุข
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
การรับรู้บริการหลักและบริการเสริมที่ส่งผลต่อการรับรู้คุณค่า การบอกต่อแบบอิเลคทรอนิกส์ และการกลับมาใช้บริการซ้ำร้านอาหารท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสงคราม
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284170
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความคิดเห็นของการรับรู้บริการหลักและการรับรู้บริการเสริมของคุณภาพร้านอาหารรับรู้คุณค่า อิเลคทรอนิกส์และความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำร้านอาหารท้องถิ่น 2) เพื่อทดสอบการรับรู้คุณค่าที่ส่งผลต่อการบอกต่อแบบอิเลคทรอนิกส์ และความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำร้านอาหารท้องถิ่น 3) เพื่อทดสอบการรับรู้บริการหลักที่ส่งผลต่อการบอกต่อแบบอิเลคทรอนิกส์ของผู้มาใช้บริการร้านอาหารท้องถิ่น 4) เพื่อทดสอบการรับรู้บริการเสริมของคุณภาพการบริการที่ส่งผลต่อความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำร้านอาหารท้องถิ่น 5) เพื่อทดสอบการรับรู้คุณค่าของการบริการในฐานะตัวแปรส่งผ่านการรับรู้บริการหลักที่ส่งผลต่อการบอกต่อแบบอิเลคทรอนิกส์ของผู้มาใช้บริการร้านอาหารท้องถิ่น 6) เพื่อทดสอบการรับรู้คุณค่าของการบริการในฐานะตัวแปรส่งผ่านการรับรู้บริการเสริมของคุณภาพการบริการร้านอาหาร ที่ส่งผลต่อความตั้งใจกลับมาใช้บริการซ้ำร้านอาหารท้องถิ่น กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้ใช้บริการร้านอาหารท้องถิ่นในจังหวัดสมุทรสงครามจำนวน 400 คน ขนาดของกลุ่มตัวอย่างถูกกำหนดโดยใช้ตารางของ Krejcie & Morgan (1970) ซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการกำหนดจำนวนตัวอย่างจากขนาดประชากร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำและเชื่อถือได้ ทั้งนี้ ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Sampling) เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของการศึกษาและข้อจำกัดด้านการเข้าถึงกลุ่มตัวอย่าง การวิเคราะห์ใช้แบบจำลองสมการเชิงโครงสร้าง (SEM) และโปรแกรมสำเร็จรูป</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าแบบจำลองมีความเหมาะสม ดังนี้ RMSEA = 0.085, GFI = 0.923, AGFI = 0.961, TLI = 0.925, CFI = 0.937 ผลทดสอบสมมติฐาน ได้รับการยอมรับ 7 สมมติฐาน และมี 1 สมมติฐานที่ไม่ได้รับการยอมรับ โดยพบว่าการรับรู้บริการหลักและบริการเสริมส่งผลทางตรงต่อการรับรู้คุณค่าและการกลับมาใช้บริการซ้ำ ด้านการรับรู้บริการหลักและบริการเสริมยังส่งผลทางอ้อมต่อการบอกต่อแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านการกลับมาใช้บริการซ้ำ ซึ่งเน้นถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพบริการและกลยุทธ์ที่ตรงต่อความคาดหวังของผู้บริโภคในร้านอาหารท้องถิ่น</p>
ชิษนุวัฒน์ มณีศรีขำ
วงศ์ลัดดา วีระไพบูลย์
วิโรจน์ เจษฏาลักษณ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
ลักษณะบรรจุภัณฑ์อาหารฟาสต์ฟู้ดในยุคดิจิทัลกับส่วนประสมทางการตลาดในการสั่งซื้อผ่าน แอปพลิเคชันสมาร์ตโฟนของประชาชนในเขตจังหวัดนนทบุรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284204
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับความคิดเห็นที่มีต่อลักษณะบรรจุภัณฑ์อาหารฟาสต์ฟู้ดในยุคดิจิทัล 2) ส่วนประสมทางการตลาดในการสั่งซื้อทางแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนของประชาชนในจังหวัดนนทบุรี 3) เปรียบเทียบลักษณะบรรจุภัณฑ์จำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ 4) เปรียบเทียบส่วนประสมทางการตลาดจำแนกตามลักษณะประชากรศาสตร์ 5) ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะบรรจุภัณฑ์อาหารฟาสต์ฟู้ดกับส่วนประสมทางการตลาด กลุ่มตัวอย่างประชาชนในจังหวัดนนทบุรี 400 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ (Stratified random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) วิเคราะห์ข้อมูลโดยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ความคิดเห็นเกี่ยวกับลักษณะบรรจุภัณฑ์อาหารฟาสต์ฟู้ดอยู่ในระดับมาก 2) ความคิดเห็นต่อส่วนประสมทางการตลาดในการสั่งซื้อทางแอปพลิเคชันสมาร์ตโฟนด้านราคาสูงสุด 3) ผู้ที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกันในส่วนของบรรจุภัณฑ์กระดาษและแก้ว ผู้ที่มีอายุ วุฒิการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกันในทุกคุณลักษณะ ผู้ที่มีสถานภาพการสมรสและอาชีพต่างกันมีความคิดเห็นแตกต่างกันในลักษณะบรรจุภัณฑ์กระดาษ แก้ว พลาสติก โลหะ 4) ผู้ที่มีวุฒิการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน สถานภาพการสมรส อาชีพต่างกันมีความคิดเห็นต่อส่วนประสมทางการตลาดในทุกด้านมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ผู้ที่มีระดับการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นต่อราคา และบุคลากรต่างกัน 5) ลักษณะบรรจุภัณฑ์มีความสัมพันธ์ทางบวกกับส่วนประสมทางการตลาดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
เจณิภา คงอิ่ม
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
แนวโน้มการปรับตัวของอู่ซ่อมรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284389
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการปรับตัวของอู่ซ่อมรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (2) เพื่อศึกษาการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการประกอบธุรกิจของอู่ซ่อมรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า (3) เพื่อศึกษาแนวโน้มการประกอบธุรกิจของอู่ซ่อมรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ในอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบไม่เจาะจงที่กระจายตัวในเขตอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นผู้ประกอบธุรกิจอู่ซ่อมรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ประกอบธุรกิจตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป จำนวน 14 คน การวิเคราะห์ผลโดยการนำข้อมูลมาทบทวนเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างท่องแท้ แล้วจึงจับกลุ่มแนวคิดที่เกิดขึ้นจากข้อมูลที่คล้ายกัน (Open Coding) พร้อมกับเชื่อมโยงแนวคิดที่สัมพันธ์กัน (Axial Coding)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลด้านการปรับตัวของอู่ซ่อมรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ในส่วนการดำเนินกิจการยังไม่ได้รับผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและเฝ้าตรวจสอบสถานการณ์ความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตก่อนตัดสินใจเรียนรู้เพื่อปรับตัว ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการประกอบธุรกิจฯ พบว่า ผู้ประกอบธุรกิจต้องศึกษาและรอตรวจสอบสถานการณ์ตลาดรถยนต์เพื่อเตรียมความพร้อมในการพัฒนาเทคโนโลยีและการลงทุนการประกอบธุรกิจและด้านแนวโน้มการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจฯ พบว่า ยังคงให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและส่งมอบงานบริการที่เป็นเลิศให้แก่ลูกค้า เพื่อการคงอยู่ของธุรกิจและวิชาชีพช่างซ่อมรถยนต์สืบต่อไป</p>
พรรนภา สวนรัตนชัย
วทัญญู รัศมิทัต
ภัทรียา สวนรัตนชัย
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
การใช้ข้อมูลทางการบัญชีต้นทุนเพื่อการวางแผนกำไร: ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร กลุ่มอาชีพชุมชนปากจั่น อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284546
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ วิเคราะห์ต้นทุนผลิตภัณฑ์ กำหนดราคาขาย วิเคราะห์จุดคุ้มทุนและวางแผนกำไรผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรให้กับกลุ่มอาชีพชุมชนปากจั่น อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติแบบมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์เชิงลึก (Deep interview) กลุ่มตัวอย่าง คือกลุ่มอาชีพชุมชนปากจั่น อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จำนวน 20 คน และสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือในการวิจัยใช้แบบสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ และการจัดประชุมกลุ่มย่อย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและวิเคราะห์ข้อมูลต้นทุนผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคาขาย วิเคราะห์จุดคุ้มทุนและวางแผนกำไร ในรูปแบบการคำนวณทางการบัญชี</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มอาชีพชุมชนปากจั่นมีผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรประกอบด้วย น้ำมันเขียว บาล์มสมุนไพร น้ำมันไพล ยาดมสมุนไพร ลักษณะการขายเป็นการขายปลีก ไม่มีรูปแบบในการจัดทำบัญชี และไม่สามารถวิเคราะห์ต้นทุนต่อหน่วยตามหลักการบัญชีได้ กำหนดราคาขายเองตามความเหมาะสมและไม่มีการวางแผนกำไร จากการคำนวณต้นทุนผลิตภัณฑ์พบว่า น้ำมันเขียวมีต้นทุน 24.53 บาท/หน่วย บาล์มสมุนไพรมีต้นทุน 29.79 บาท/หน่วย น้ำมันไพลมีต้นทุน 36.60 บาท/หน่วย ยาดมสมุนไพรมีต้นทุน 20.92 บาท/หน่วย การกำหนดราคาขายกำหนดจากต้นทุนส่วนเพิ่มที่ 50% ได้ราคาขายที่เหมาะสมคือ 35,50,50 และ 35 ตามลำดับ การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนพบว่า ปริมาณขาย ณ จุดคุ้มทุนจากสมุนไพรทั้ง 4 ชนิดเท่ากับ 124 หน่วยคิดเป็นเงิน 5,236.83 บาท การวางแผนกำไร ทางกลุ่มต้องการกำไรตามเป้าหมาย 100 % ของต้นทุนผลิตภัณฑ์ จึงต้องวางแผนการขายให้ได้ 520 หน่วย หรือยอดขายเท่ากับ 21,993.04 บาทเพื่อให้ได้กำไรตามเป้าหมาย 5,660.25 บาทหรือได้กำไร 100 %</p>
ภาวินีย์ ธนาอนวัช
ดวงรัตน์ โพธิ์เงิน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
อิทธิพลด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม ที่มีต่อความยั่งยืนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284791
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ถึงอิทธิพลด้านเศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากร และสิ่งแวดล้อม ที่มีต่อความยั่งยืนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน 400 ราย อาศัยการสุ่มตัวอย่างไม่อาศัยความน่าจะเป็นด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา คือ ค่าร้อยละและความถี่ สำหรับสถิติอ้างอิง ได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยพหุถดถอยแบบปกติ (Enter Multiple Regression Analysis)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า อิทธิพลที่ส่งผลเชิงบวกต่อความยั่งยืนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านทรัพยากร และด้านเศรษฐกิจ แต่สำหรับด้านสังคมจะส่งผลเชิงลบต่อความยั่งยืนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยมีค่าสัมประสิทธิการตัดสินใจที่ปรับแก้ (Adjusted R<sup>2</sup>) เท่ากับ 0.438 และค่า Durbin-Watson เท่ากับ 1.270 การวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาวิชาชีพ การให้ความสำคัญกับการจ้างงานและสวัสดิการ ความปลอดภัยในการทำงาน และระบบสุขภาพของพนักงาน ทั้งเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล</p>
ภัทรพล ชุ่มมี
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการการเงินของครัวเรือน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284828
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารจัดการการเงินของครัวเรือนในจังหวัดนนทบุรี และ 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการการเงินของครัวเรือน กลุ่มตัวอย่างคือประชากรในจังหวัดนนทบุรีจำนวน 400 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย โดยใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.94 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการบริหารจัดการการเงินของครัวเรือนในจังหวัดนนทบุรี ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄=3.75, SD=0.56) โดยด้านการบริหารจัดการรายรับและรายจ่ายมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (x̄=3.93, SD=0.67) รองลงมา คือ ด้านพฤติกรรมการเงิน การออม และการลงทุน มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (x̄=3.76, SD=0.70) ส่วนด้านวงจรชีวิตทางการเงิน ความมั่งคั่ง และมรดก มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (x̄=3.64, SD=0.68) ตามลำดับ 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการการเงินของครัวเรือน ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄=4.19, SD=0.39) โดยปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมีอิทธิพลสูงที่สุด (x̄=4.37, SD=0.53) รองลงมา คือ ปัจจัยด้านการบริหารหนี้สิน (x̄=4.33, SD=0.50) และปัจจัยด้านการสนับสนุนจากภายนอกมีค่าเฉลี่ยต่ำสุด (x̄=3.67, SD=0.56) ตามลำดับ และ 3) ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ พบว่าปัจจัยด้าน สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ทัศนคติในการบริหารจัดการการเงิน และความรู้ในการบริหารจัดการการเงิน มีอิทธิพลต่อการบริหารจัดการการเงินของครัวเรือนในจังหวัดนนทบุรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
รุ่งระวี มังสิงห์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
การยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการทำงานของบุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284831
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการยอมรับเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI ในการทำงานของบุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรในมหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สายวิชาการ จำนวน 250 คน ใช้การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิเคราะห์ พบว่า การรับรู้ความง่ายในการทำงาน การรับรู้ประโยชน์จากการใช้งาน ทัศนคติต่อการใช้งาน การสนับสนุนขององค์กรในการนำมาใช้ และ ประสบการณ์ ส่งผลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ หากพิจารณารายข้อพบว่า ด้านทัศนคติต่อการใช้งาน และการสนับสนุนขององค์กรในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งาน เท่ากันคือ ค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 4.69 รองลงมาคือ ด้านประสบการณ์การใช้เทคโนโลยี AI ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 ด้านการรับรู้ประโยชน์จากการทำงาน และความตั้งใจในการใช้เทคโนโลยี AI เท่ากันคือ ค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.63 และด้านที่น้อยที่สุด คือ ด้านการรับรู้ความง่ายในการทำงาน ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.58 ตามลำดับ</p>
อัจฉราวรรณ สุขเกิด
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
การบริหารจัดการกลุ่มการผลิตข้าวเพื่อเข้าสู่การรับรองมาตรฐานตามการปฏิบัติการเกษตรที่ดี (GAP) กลุ่มนาแปลงใหญ่ ตำบลมะเกลือใหม่ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/285055
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบทและพัฒนาการผลิตข้าวให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP และพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการกลุ่มการผลิตข้าวให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP กลุ่มนาแปลงใหญ่ ตำบลมะเกลือใหม่ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา โดยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมระหว่างนักวิจัย ผู้นำ และเกษตรกรผู้ผลิตข้าว GAP เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ร่วมกับสัมภาษณ์เชิงลึก สนทนากลุ่ม และจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 58 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการสังเคราะห์ข้อมูล</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ข้อมูลพื้นฐานของเกษตรกร จำนวน 58 คน เป็นเกษตรกรปลูกข้าว GAP ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 51.72 จบการศึกษาต่ำกว่ามัธยมศึกษาร้อยละ 65.52 ไม่ได้เป็นผู้นำในกลุ่มเกษตรกรปลูกข้าว GAP ร้อยละ 79.31 ในปีที่ผ่านมาไม่ผ่านการรับรองร้อยละ 75.86 บริบทและการผลิตข้าวให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP ของเกษตรกรกลุ่มนาแปลงใหญ่ ตำบลมะเกลือใหม่ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา เกษตรกรทุกคนใช้พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ในการเพาะปลูก ส่วนใหญ่มีพื้นที่เพาะปลูกเป็นดินร่วนปนทรายร้อยละ 58.62 ลักษณะพื้นที่เพาะปลูกเป็นนาลุ่ม ร้อยละ 91.38 ใช้แหล่งน้ำชลประทานในการเพาะปลูกร้อยละ 94.83 มีการบำรุงดินร้อยละ 100 ใส่ปุ๋ยเคมีร้อยละ 72.41 ไม่ปลูกพืชบำรุงดิน ร้อยละ 70.69 ปลูกข้าวด้วยการหว่านร้อยละ 89.66 ใช้รถเกี่ยวข้าวเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตร้อยละ 100 เก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้ประโยชน์ร้อยละ 91.38 และไม่ขายเมล็ดพันธุ์ร้อยละ 72.41 ปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรเลือกปลูกข้าว GAP 3 ลำดับแรกประกอบด้วย มีความความปลอดภัยต่อผู้ปลูกและผู้บริโภคร้อยละ 94.83 ปลูกไว้รับประทานเองร้อยละ 91.38 และสนองนโยบายของรัฐร้อยละ 93.10 การบริหารจัดการและวิธีการปลูกข้าวปลอดภัย (GAP) เกษตรกรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและวิธีการปลูกข้าวปลอดภัย (GAP) คิดเป็นค่าเฉลี่ย 4.36 อยู่ระดับมาก ผลการวิเคราะห์ในแต่ละด้าน พบว่า เกษตรกรให้ความสำคัญทุกด้านในระดับมาก คือ ด้านกระบวนการผลิตข้าวปลอดภัย (GAP) มีค่าเฉลี่ย 4.27 ด้านการบริหารจัดการ มีค่าเฉลี่ย 4.32 ด้านการปฏิบัติการเป็นเกษตรที่ดี มีค่าเฉลี่ย 4.50 รูปแบบการบริหารจัดการกลุ่มการผลิตข้าวเพื่อเข้าสู่การรับรองมาตรฐานตามการปฏิบัติการที่ดี (GAP) ประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 2 ด้านหลัก ๆ คือ ด้านการบริหารจัดการ ประกอบด้วย การวางแผน (Planning) การจัดองค์การ (Organizing) การนำองค์กร (Leading) การควบคุม (Controlling) โดยประธานกลุ่มเป็นผู้วางแผนการดำเนินงานร่วมกับกลุ่มผู้นำเกษตรกรตามโครงสร้างองค์กร บุคลากรทุกคนปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ตามโครงสร้าง มีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และติดตาม ควบคุมการผลิตข้าวตามมาตรฐานการปลูกข้าว GAP และปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของการบริหารจัดการกลุ่ม ประกอบด้วย ด้านภาวะผู้นำ ด้านการสร้างเครือข่าย ด้านการบริหารงานแบบมีส่วนร่วม และด้านอื่น ๆ</p>
จินตนา โต้งสูงเนิน
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
กระบวนการค้นหาอัตลักษณ์ชุมชนเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนให้โดดเด่น บ้านสุขสำราญ ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284065
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อค้นหาอัตลักษณ์ของชุมชนบ้านสุขสำราญ ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว 2) เพื่อนำอัตลักษณ์มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนบ้านสุขสำราญ ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ให้มีเอกลักษณ์ที่โดเด่น ซึ่งเป็นกระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ คือ ประชากรในบ้านสุขสำราญ ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว คัดเลือกผู้ให้ข้อมูลด้วยวิธีเฉพาะเจาะจง คือ ผู้นำชุมชน ผู้ผลิตสินค้าชุมชน และสมาชิกในครัวเรือนจำนวน 12 คน เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก และการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดจากการลงพื้นที่</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) อัตลักษณ์ของชุมชนบ้านสุขสำราญชุมชนมีอัตลักษณ์เด่นที่ยึดโยงกับ <em>ศาลประจำหมู่บ้าน</em> ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตชุมชน โดยอัตลักษณ์นี้ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบ “สี” ที่มีความหมายเฉพาะเพื่อสื่อถึงจิตวิญญาณของชุมชน ดังนี้ <strong>สีแดง</strong> แทนความเชื่อและความศรัทธา, <strong>สีน้ำเงิน</strong> แทนความสุขุม รอบคอบ, <strong>สีเขียว</strong> แทนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรและธรรมชาติ, <strong>สีเหลือง</strong> แทนความสุขและความร่มเย็น 2) แนวทางการพัฒนาอัตลักษณ์สู่ผลิตภัณฑ์สีสัญลักษณ์ทั้ง 4 สี ถูกนำมาใช้ในการออกแบบลวดลาย <em>ผ้าทอพื้นบ้าน</em> และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เพื่อสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของชุมชน ซึ่งแนวทางนี้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้มีส่วนร่วมในการสืบค้นและสร้างความหมายร่วมกันของอัตลักษณ์ ทำให้สามารถพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ให้มีความเฉพาะตัว เพิ่มคุณค่าและความน่าสนใจของสินค้า รวมถึงสื่อถึงเรื่องราวและวัฒนธรรมของชุมชนผ่านสีสันและลวดลาย พร้อมทั้งสร้างความภาคภูมิใจ ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างคนในชุมชน อีกทั้งยังมีศักยภาพในการขยายผลไปสู่การพัฒนาชุมชนในด้านอื่น ๆ ได้ ซึ่งจากการค้นหาอัตลักษณ์ของชุมชน จะช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยบ่งบอกถึงวิถีการดำเนินชีวิต นำไปสู่การสร้างรายได้ให้ชุมชนในอนาคตได้ เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรท้องถิ่นของชุมชนบ้านสุขสำราญ</p>
กีรฉัตร วันช่วย
รังสรรค์ ลีเบี้ยว
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
ความสัมพันธ์ของเครื่องมือการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลกับการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดภูเก็ต
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284947
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างเครื่องมือการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลกับการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดภูเก็ต ประชากรเป็นผู้บริโภคจังหวัดภูเก็ต ที่เคยซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 384 ตัวอย่าง ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ จากการกำหนดสัดส่วนของประชากรจังหวัดภูเก็ต และสุ่มแบบตามความสะดวก เป็นลำดับถัดไป ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการทำวิจัย โดยมีค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.88 สถิติที่ใช้ ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความสัมพันธ์เครื่องมือสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลกับการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดภูเก็ต โดยภาพรวมพบว่า เครื่องมือสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการผ่านสื่อดิจิทัลสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดภูเก็ต (r=.631) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 โดยสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับสูง และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเรียงลำดับความสัมพันธ์ได้ดังนี้ ด้านการโฆษณาผ่านสื่อดิจิทัล (r=.762) การตลาดทางตรงผ่านสื่อดิจิทัล (r=.622) การส่งเสริมการขายผ่านสื่อดิจิทัล (r=.552) การให้ข่าวและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัล (r=.438) และการขายโดยพนักงานผ่านสื่อดิจิทัล (r=.388) ตามลำดับ</p>
ณิชชา ปะณะรักษ์
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และองค์ประกอบผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อความสามารถทางการแข่งขันด้านความแตกต่างของธุรกิจบริการรับจัดดอกไม้ในพื้นที่จังหวัดลำปาง จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/285065
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์และศึกษาองค์ประกอบผลิตภัณฑ์ที่มีผลต่อความสามารถทางการแข่งขันด้านความแตกต่างของธุรกิจบริการรับจัดทำดอกไม้ในพื้นที่จังหวัดลำปาง จังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ ศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้เคยใช้บริการธุรกิจบริการรับจัดดอกไม้ จำนวน 400 คน โดยสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ภาพรวมในระดับมากที่สุด ผลการศึกษาการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ทุกด้านมีผลต่อความสามารถทางการแข่งขันด้านความแตกต่างของธุรกิจบริการรับจัดทำดอกไม้ โดยรวมที่ร้อยละ 85.80 โดยการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยกระบวนการขายผ่านระบบออนไลน์มีผลมากที่สุด รองลงมาคือ การสร้างมูลค่าเพิ่มจากการออกแบบ และการสร้างมูลค่าเพิ่มจากกระบวนการผลิต ตามลำดับ และส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อองค์ประกอบผลิตภัณฑ์ภาพรวมในระดับมากที่สุด ผลการศึกษาองค์ประกอบผลิตภัณฑ์ทุกด้านมีผลต่อความสามารถทางการแข่งขันด้านความแตกต่างของธุรกิจบริการรับจัดทำดอกไม้ โดยรวมอยู่ที่ร้อยละ 90.30 โดยด้านการจูงใจตลาด มีผลมากที่สุด รองลงมาคือ ราคาตามเกณฑ์คุณค่าการรับรู้ ลักษณะและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ส่วนประสมบริการ ตามลำดับ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยกระบวนการขายผ่านระบบออนไลน์ให้ใช้งานง่ายจัดแสดงสินค้าหลายรูปแบบเพื่อสร้างการจูงใจตลาดให้กับผู้ใช้บริการ</p>
อารยา ธรรมนุช
ฑัตษภร ศรีสุข
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
การตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ผ่านบริษัทลิสซิ่งของผู้บริโภค เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/285372
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ผ่านบริษัทลิสซิ่งของผู้บริโภค เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบปัจจัยการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ผ่านบริษัทลิสซิ่งของผู้บริโภค เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ 7 P’s ในการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ผ่านบริษัทลิสซิ่งของผู้บริโภค เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยแบบเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ได้มาโดยวิธีการคำนวณด้วยสูตรของ (Taro Yamane, 1970) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) สถิติที่ใช้ในการวิจัยค่าความถี่และร้อยละ ต่อมาวิเคราะห์ระดับความสำคัญของข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดและการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ ด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สุดท้ายวิเคราะห์ส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ส่วนใหญ่เป็น เพศชาย อายุระหว่าง 21-30 ปี ประกอบอาชีพ พนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท ระดับความสำคัญอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ส่วนประสมทางการตลาดบริการ และการตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า การตัดสินใจเลือกใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการรับรู้ปัญหา ด้านการค้นหาข้อมูล ด้านการประเมินทางเลือก ด้านการตัดสินใจ และด้านพฤติกรรมหลังการใช้บริการ ร้อยละ 47.60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .01 และการใช้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ยังสามารถช่วยให้ผู้บริหารกำหนดนโยบายสามารถวางแผนและดำเนินการในเชิงรุกเพื่อลดอุปสรรคในการเข้าถึง และส่งเสริมการใช้สินเชื่ออย่างมีประสิทธิภาพ</p>
ชนัญชิดา อินสถิต
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
ทักษะของนักบัญชียุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานในสำนักงานบัญชีคุณภาพ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/284825
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับทักษะของนักบัญชียุคดิจิทัลในสำนักงานบัญชีคุณภาพ 2) ศึกษาระดับความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในสำนักงานบัญชีคุณภาพ และ 3) ศึกษาทักษะของนักบัญชียุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานในสำนักงานบัญชีคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือนักบัญชีในสำนักงานบัญชีคุณภาพ จำนวน 74 บริษัท ในจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้คือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า ระดับทักษะนักบัญชียุคดิจิทัลในสำนักงานบัญชีคุณภาพ ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก (x̄=4.13, SD=0.32) โดยด้านความรู้และความสามารถทางการบัญชีมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (x̄ =4.24, SD=0.38) รองลงมา คือ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (x̄ =4.23, SD=0.42) และด้านการจัดการองค์กรและการทำงานเป็นทีมมีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (x̄ =3.86, SD=0.43) ในภาพรวมพบว่า ระดับความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในสำนักงานบัญชีคุณภาพ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ =4.17, SD=0.67) โดยการบรรลุเป้าหมายความสำเร็จมีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด (x̄ =4.31, SD=0.43) รองลงมา คือ การปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพและคุณภาพของผลงาน (x̄ =4.19, SD=0.59) และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่ามีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด (x̄ =4.05, SD=1.92) ผลการวิเคราะห์ทักษะนักบัญชียุคดิจิทัลที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชีในสำนักงานบัญชีคุณภาพ ประกอบด้วย ด้านคุณลักษณะเฉพาะบุคคลและ การสื่อสารประกอบด้วยความคิดสร้างสรรค์ การวิเคราะห์ แก้ไขปัญหาและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05</p>
ปฐมาภรณ์ คำชื่น
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1
-
ทัศนคติและทักษะที่จำเป็นแห่งอนาคตที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของบุคลากร ในหน่วยงานสนับสนุนทางการศึกษา
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/285493
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ทัศนคติที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของบุคลากร ในหน่วยงานสนับสนุนทางการศึกษา และ 2) ทักษะที่จำเป็นแห่งอนาคตที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานสนับสนุนทางการศึกษา งานวิจัยเชิงปริมาณนี้ศึกษาประชากรที่เป็นบุคลากรในหน่วยงานสนับสนุน ทางการศึกษา จำนวน 205 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า 1) ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อทัศนคติภาพรวมในระดับมากที่สุด (µ = 4.65) ทัศนคติ 3 ด้าน ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานสนับสนุนทางการศึกษา โดยรวมที่ร้อยละ 54.90 ด้านที่ส่งผลมากที่สุดคือ ด้านพฤติกรรม (b = 0.233, Sig.=0.000*) รองลงมา ได้แก่ ด้านอารมณ์ (b = 0.292, Sig.=0.000*) และด้านปัญญา (b =0.295, Sig.=0.000*) ตามลำดับ และ 2) ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อทักษะที่จำเป็นแห่งอนาคตภาพรวมในระดับมากที่สุด (µ = 4.51) ผลการศึกษาทักษะจำเป็นแห่งอนาคต 5 ด้าน ส่งผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานของบุคลากรในหน่วยงานสนับสนุนทางการศึกษา โดยรวมที่ร้อยละ 66.10 ทักษะที่ส่งผลมากที่สุดคือ ทักษะภาวะผู้นำ (b = 0.276, Sig.=0.000*) รองลงมา ได้แก่ ทักษะความคิดสร้างสรรค์ (b = 0.174, Sig.= 0.002*) ทักษะความฉลาดทางอารมณ์ (b = 0.251, Sig.=0.000*) ทักษะการทำงานเป็นทีม (b = 0.178, Sig.=0.003*) และทักษะด้านดิจิทัล (b = 0.051, Sig.=0.043) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ดังนั้น หน่วยงานสนับสนุนทางการศึกษา จึงควรส่งเสริมให้บุคลากรมีทัศนคติด้านพฤติกรรมที่ดี เพื่อให้เกิดความสำเร็จในหน้าที่การงาน และควรมีนโยบายพัฒนาทักษะภาวะผู้นำ โดยสร้างโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วมตัดสินใจในงานที่สำคัญ เพื่อปลูกฝังความคิดที่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม</p>
เนตรภิรมย์ ทรัพย์กฤดิ์
ฑัตษภร ศรีสุข
นภสินธุ์ พรมวิเศษ
Copyright (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-04-26
2025-04-26
27 1