https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/issue/feed
วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2024-12-30T09:05:09+07:00
วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
msarujournal@gmail.com
Open Journal Systems
วิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/281267
หลักการจัดการสมัยใหม่เพื่อการดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน
2024-11-01T15:37:53+07:00
วรรณิภา ไชยสัตย์
wannipha@aru.ac.th
<p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่ออธิบายหลักการจัดการสมัยใหม่ การดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน ซึ่งปัจจุบันในโลกของธุรกิจมีการแข่งขันสูง มีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว ธุรกิจต่าง ๆ ปรับใช้เทคโนโลยีกับการดำเนินธุรกิจ ปัจจุบันธุรกิจต้องมีการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ อีกทั้งความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ประกอบการต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการจัดการใหม่ ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ให้เหมาะสมกับธุรกิจ</p> <p>หลักการจัดการมีความสำคัญในการดำเนินธุรกิจตั้งแต่อดีตจนถึงสมัยปัจจุบัน มีวิวัฒนาการและการพัฒนาเพื่อใช้ในการออกแบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพตามยุคสมัย ผู้ประกอบการควรที่จะศึกษาหลักการจัดการใหม่ ๆ การดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศในยุคดิจิทัล ความจำเป็นที่ต้องมีจริยธรรมในธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี สื่อออนไลน์ในการทำธุรกิจ ซึ่งเป็นความรู้ทางด้านการบริหารธุรกิจที่ผู้ประกอบการควรมีความรู้อย่างรอบด้าน สามารถที่จะนำไปประยุกต์ใช้และแก้ปัญหาให้กับบริษัทหรือองค์กรที่ดำเนินงานอยู่เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ <br />อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี ควรมีความรู้ความเข้าใจทางด้านเทคโนโลยี สื่อออนไลน์ ในสมัยปัจจุบันไป<br />พร้อม ๆ กัน การที่ธุรกิจสามารถนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ สื่อออนไลน์ต่าง ๆ มาปรับใช้ในการดำเนินงานธุรกิจของตนย่อมจะสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าของธุรกิจและช่วยให้สามารถบริหารจัดการธุรกิจให้ดำเนินงานไปอย่างราบรื่น เนื่องจากเทคโนโลยีสื่อออนไลน์ในปัจจุบันมีอิทธิผลอย่างมากในการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่มีตัวตนที่สามารถจับต้องได้หรือธุรกิจบริการ ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างผลกำไรให้แก่ธุรกิจที่ตนดำเนินงานอยู่อย่างยั่งยืน</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/282325
กลยุทธ์ทางการตลาด 5.0 กับการพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย
2024-11-01T15:49:17+07:00
ภรณิษฐ์ อุบลนุช
pallanit.ub@northbkk.ac.th
ทศพร ธรรมธนวณิช
thosaporn.tham@northbkk.ac.th
ตระกูล จิตวัฒนากร
trakul.ch@northbkk.ac.th
บุษกร วัฒนบุตร
busakorn.wa@northbkk.ac.th
<p>บทความวิชาการนี้มุ่งอธิบายเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางการตลาด 5.0 กับการพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย เนื้อหาประกอบด้วยความหมายของกลยุทธ์ทางการตลาด 5.0 ความสำคัญของการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและสภาพแวดล้อมภายนอก (SWOT Analysis) การตลาดของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในช่วงปี พ.ศ. 2562-2567 และแนวทางในการพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อหาแนวทางกลยุทธ์ทางการตลาด 5.0 ในการพัฒนาศักยภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยจากปัญหาการตลาดของผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในช่วงปี พ.ศ. 2562-2567 ที่มีการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคที่เทคโนโลยีมีการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มมากขึ้น สำหรับแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นั้น อาศัยการหลักการ SWOT Analysis ร่วมกับกลยุทธ์ทางการตลาด 5.0 ได้แก่ Data-Driven marketing, Agile marketing, Predictive marketing, Contextual marketing และ Augmented marketing เป็นแนวทางที่ช่วยให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยพัฒนาได้อย่างเกิดประสิทธิผลและสามารถต่อยอดไปสู่การค้าในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคตอย่างยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สามารถนำไปใช้ในสร้างภาพลักษณ์และส่งเสริมการตลาดสมุนไพรตลอดจนขยายตลาดเชิงรุกทั้งในประเทศ และต่างประเทศ</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/282528
การฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรสมัยใหม่ คือ แผนการเติบโตที่องค์กร ไม่ควรมองข้าม
2024-11-04T21:10:58+07:00
อินทิรา จันทร์สอน
inthira.chansorn@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้ มุ่งเน้นในฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นฝ่ายที่มีความสำคัญสำหรับทุกองค์กรและงานด้านฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรเป็น ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะงานด้านพัฒนาบุคลากร หรือ HRD (Human Resource Development) หลายองค์กรต้องมีการปรับตัว และให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากร องค์กรจะพัฒนาไปได้ต้องอาศัยบุคลากรที่มีคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถจึงจะสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพให้กับองค์กร โดยการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากรเป็นกระบวนการในการเพิ่มพูนในส่วนของทักษะ ความคิด บทบาท และทัศนคติ เพื่อการส่งเสริมให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผู้เขียนได้ทำการสังเคราะห์องค์ความรู้ จากการสัมภาษณ์ข้อมูลทางไลน์แอปพลิเคชัน โดยมีเกณฑ์คัดเลือกผู้ที่ทำงานนักวิชาการด้านทรัพยากรมนุษย์และบุคลากรในองค์กร หัวหน้างาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ตำรา เอกสารทางวิชาการ งานวิจัย โดยสามารถสรุป ความสำคัญถึงประโยชน์ของการฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร พบว่ามีความสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1. การปฏิบัติงานที่ถูกต้องและเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กร 2. พนักงานมีความคิดสร้างสรรค์และทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน 3. พนักงานมีทักษะความรู้ใหม่ๆ เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ 4. ความรู้และทักษะของพนักงานได้รับการพัฒนาให้อยู่ในระดับที่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายของธุรกิจองค์กร ดังนั้นการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรในด้านต่าง ๆ จึงมีความสำคัญและสอดคล้องต่อการทำงานด้านทรัพยากรมนุษย์ซี่งหลายๆ องค์กรต้องเตรียมแผนรองรับต่อการเปลี่ยนแปลงในการปรับตัวให้มีความทันสมัย และหลักสูตรการฝึกอบรมต้องมีความสอดคล้องต่อความต้องการของผู้เข้าอบรมและบริบทของแต่ละองค์กร และองค์กรควรลงทุนกับการพัฒนาบุคลากร เพราะเมื่อบุคลากรได้รับการฝึกอบรมพัฒนาตามแผนการฝึกอบรมที่วางไว้จะนำสิ่งที่ได้รับ จากการลงทุนในการฝึกอบรมกลับมาพัฒนาองค์กรให้เติบโตต่อไป</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/283056
ธุรกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย : ความท้าทายและโอกาสสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน
2024-11-20T09:28:52+07:00
กอบชัย เมฆดี
kobchai.m@rmutsb.ac.th
คณัสนันท์ สงวนสัตย์
Kanassanunt.s@rmutsb.ac.th
ศิขรินทร์ เที่ยงทัต
sikarin.t@rmutsb.ac.th
วิทยา นามเสาร์
vittaya.n@rmutsb.ac.th
<p>บทความนี้เป็นบทความวิชาการ ที่มีจุดประสงค์หลักในการนำเสนอเกี่ยวกับธุรกิจเพื่อสังคม (Social enterprise) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable development goals: SDGs) และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนให้เกิดการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การกำหนดกฎหมายและนโยบาย การมอบสิทธิประโยชน์และสนับสนุนเงินทุน ถึงอย่างนั้นธุรกิจเพื่อสังคมในประเทศไทยก็ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น การขาดแคลนเงินทุน ความรู้ด้านการจัดการ และการขาดการสนับสนุนจากสังคม โดยเฉพาะการรับรู้ถึงประโยชน์ของธุรกิจเพื่อสังคมที่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง แต่ในขณะเดียวกันธุรกิจเพื่อสังคมก็ยังมีโอกาสเติบโตจากการสนับสนุนขององค์กรต่าง ๆ และแนวโน้มผู้บริโภคที่สนใจสินค้าและบริการที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีและการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์กรต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและผลกระทบของธุรกิจเพื่อสังคมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน ดังนั้นบทความนี้จึงมีจุดมุ่งเน้นเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ความท้าทายและโอกาสของธุรกิจเพื่อสังคมในประเทศไทย เพื่อเสนอแนะแนวทางสำหรับการพัฒนาธุรกิจเพื่อสังคมให้มีความยั่งยืนและสามารถตอบสนองความต้องการของสังคมประเทศไทยในอนาคตได้</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/283221
จรรยาบรรณธุรกิจขายตรงโลกและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย
2024-11-12T10:01:22+07:00
ฉัฐวัฒน์ ชัชณฐาภัฏฐ์
chattawat.sh@western.ac.th
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจของหลายประเทศ เนื่องจากเป็นการจำหน่ายสินค้าผ่านตัวแทนโดยตรงถึงผู้บริโภค ธุรกิจขายตรงจึงต้องการความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสในการดำเนินงาน ซึ่งจรรยาบรรณธุรกิจขายตรงโลกได้เข้ามากำหนดแนวทางที่โปร่งใสและเป็นธรรม จรรยาบรรณนี้ช่วยสร้างมาตรฐานให้ธุรกิจและตัวแทนขายสามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจรรยาบรรณ เช่น การเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง การปฏิบัติต่อผู้บริโภคอย่างซื่อสัตย์ และการหลีกเลี่ยงกลยุทธ์ที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ในประเทศไทย กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติการขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 และพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มีบทบาทในการควบคุมการดำเนินธุรกิจขายตรง โดยกำหนดข้อบังคับที่ช่วยปกป้องสิทธิของผู้บริโภค นอกจากนี้ การไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณและกฎหมายอาจส่งผลให้ธุรกิจต้องเผชิญบทลงโทษทางกฎหมาย เช่น การปรับหรือจำคุก จรรยาบรรณธุรกิจขายตรงโลกยังเน้นให้ธุรกิจปฏิบัติตามหลักการ เช่น การไม่ใช้กลยุทธ์หลอกลวง การเปิดเผยสถานภาพของตัวแทนขาย และการให้ข้อมูลสินค้าอย่างครบถ้วน นอกจากนั้น ในยุคสื่อออนไลน์ปัจจุบัน ยังมีกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 ที่ควบคุมการโฆษณาที่เกินจริงหรือบิดเบือน การปฏิบัติตามจรรยาบรรณและข้อกำหนดทางกฎหมายนี้ช่วยให้ธุรกิจขายตรงสามารถสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาวและเป็นกรอบการดำเนินธุรกิจที่โปร่งใส</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/279699
การเปรียบเทียบตัวแบบการพยากรณ์มูลค่ารายการธุรกรรมการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งและโมบายแบงก์กิ้งด้วยวิธีบ็อกซ์-เจนกินส์และโฮลท์-วินเทอร์
2024-10-30T16:32:24+07:00
พิเชษฐ์ ศิริรัตนไพศาลกุล
pichate.si@g.cmru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบจำลองด้วยวิธีบ็อกซ์-เจนกินส์และวิธีโฮลท์-วินเทอร์และเพื่อเปรียบเทียบตัวแบบการพยากรณ์มูลค่ารายการธุรกรรมการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งและโมบายแบงก์กิ้งด้วยวิธีบ็อกซ์-เจนกินส์และโฮลท์-วินเทอร์ โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 ถึงเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งรวบรวมข้อมูลมาจากเว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย (http://www.bot.or.th) รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 168 เดือน โดยได้แบ่งข้อมูลออกเป็น 2 ชุด คือ ชุดข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2564 จำนวน 135 เดือน และชุดข้อมูลเพื่อการทดสอบตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 ถึงธันวาคม พ.ศ. 2566 จำนวน 33 เดือน โดยใช้ค่ารากที่สองของความคลาดเคลื่อนเฉลี่ยกำลังสอง (Root Mean Square Error: RMSE) และ ร้อยละของความคลาดเคลื่อนสัมบูรณ์เฉลี่ย (Mean Absolute Percentage Error: MAPE) ในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของตัวแบบการพยากรณ์</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า แบบจำลองแบบบ็อกซ์-เจนกินส์กับมูลค่ารายการธุรกรรมการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งตัวแบบที่เหมาะสมคือ ARIMA(2,1,3) ส่วนโมบายแบงก์กิ้งคือ ARIMA(3,2,3) แบบจำลองแบบโฮลท์-วินเทอร์กับมูลค่ารายการธุรกรรมการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งและโมบายแบงก์กิ้ง ตัวแบบที่เหมาะสมคือ Triple Exponential Smoothing ในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแบบจำลองพบว่า แบบจำลองแบบ บ็อกซ์-เจนกินส์เหมาะสมกว่าแบบจำลองโฮลท์-วินเทอร์ ทั้งอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งและโมบายแบงก์กิ้ง สถาบันการเงินสามารถนำผลลัพธ์จากการวิจัยไปวางแผนในด้านซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ ระบบรักษาความปลอดภัยในการใช้ธุรกรรมการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้งและโมบายแบงก์กิ้ง ให้สอดคล้องกับจำนวนลูกค้าตามช่วงเวลาต่าง ๆ</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/280292
คุณลักษณะพนักงานขายที่มีอิทธิพลต่อความไว้ใจ ความเชื่อมั่น และการตัดสินใจ กลับมาใช้บริการของผู้ใช้บริการธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กใน จังหวัดนนทบุรี
2024-10-30T16:39:09+07:00
กิตติพงศ์ คงธนาทรัพย์
kittipongkong@pim.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านคุณลักษณะของพนักงาน ความเชี่ยวชาญ ความชื่นชอบในงาน ความสามารถในการขาย การมีน้ำใจแบ่งปัน การสื่อสารเข้าใจ และความมุ่งมั่นที่มีอิทธิพลต่อความไว้ใจ ความเชื่อมั่น และการตัดสินใจกลับมาใช้บริการ เป็นวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูลผู้ช่วยผู้จัดการร้านและผู้จัดการร้านเป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 180 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ Path Analysis ที่สามารถใช้กลุ่มตัวอย่างได้โดยกำหนดกลุ่มตัวอย่างจากตัวแปรแฝง (Latent Variables) ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 7 ตัว และในการศึกษาครั้งนี้มีตัวแปรแฝง จำนวน 9 ตัว ซึ่งสามารถทำการเก็บข้อมูลอย่างน้อย 180 ตัวอย่าง โดยคิดเป็นจำนวน 2 เท่าของตัวแปรแฝง และเหมาะสมกับการวิเคราะห์ Path Analysis ดังนั้น จึงคำนวณได้ขนาดตัวอย่าง จำนวน 180 ราย</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยอิทธิพลที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ได้แก่ปัจจัยด้านความเชี่ยวชาญ และปัจจัยด้านความชื่นชอบในงาน ส่วนปัจจัยด้านความสามารถในการขายของพนักงานมีอิทธิพลเชิงลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ส่วนอิทธิพลที่ส่งผลต่อความไว้วางใจของผู้บริโภค ได้แก่ ความเชี่ยวชาญของพนักงาน ความชื่นชอบในงาน พฤติกรรมการแบ่งปัน การสื่อสาร และความมุ่งมั่นของพนักงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความไว้วางใจ และอิทธิพลที่ส่งผลต่อการกลับมาใช้บริการ ได้แก่พนักงานที่มีพฤติกรรมแบ่งปัน มีการสื่อสารที่ดี และความเชื่อมั่นของพนักงาน</p> <p>ผลการวิจัยแนะนำให้ธุรกิจค้าปลีกขนาดเล็กมีการส่งเสริมพัฒนาพนักงานขายให้มีคุณสมบัติ 3 ประการประกอบด้วย พัฒนาให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านค้าปลีกให้กับพนักงาน ควรสร้างให้พนักงานชื่นชอบในงาน และพัฒนาความสามารถและทักษะในการขายให้กับพนักงาน</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/280957
อิทธิพลในการส่งผ่านการจัดการโซ่อุปทานสีเขียว การตลาดสีเขียวและความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทย
2024-10-30T16:48:36+07:00
สมจินต์ อักษรธรรม
somjin072@gmail.com
ปรีชา วรารัตน์ไชย
preecha.wa@ssru.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์คือ (1) เพื่อศึกษาอิทธิพลการจัดการโซ่อุปทานสีเขียว การตลาดสีเขียวและความได้เปรียบทางการแข่งขันที่มีผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทย (2) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลทางตรงและทางอ้อมของการจัดการโซ่อุปทานสีเขียว การตลาดสีเขียวและความได้เปรียบทางการแข่งขันที่มีผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทย ใช้วิธีดำเนินการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Methods) ใช้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 320 บริษัท โดยสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิตามพื้นที่โดยมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์แบบจำลองสมการโครงสร้าง ผลการวิจัยพบว่า (1) อิทธิพลการจัดการ โซ่อุปทานสีเขียว การตลาดสีเขียวและความได้เปรียบทางการแข่งขัน ที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศไทยอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับความสำคัญได้แก่ ความร่วมมือกับลูกค้า การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม การจัดการสิ่งแวดล้อมภายใน และการจัดซื้อสีเขียว (2) จากการวิเคราะห์อิทธิพลทางตรงและทางอ้อมพบว่าตัวแบบสมการโครงสร้างมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยการจัดการโซ่อุปทานสีเขียวมีอิทธิพลเชิงตรงทางบวกต่อการตลาดสีเขียวมากที่สุด มีอิทธิพลรวมเท่ากับ 0.78 มีสัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R<sup>2</sup>) ร้อยละ 60.8 รองลงมาคือ ความได้เปรียบทางการแข่งขันมีอิทธิพลเชิงตรงต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจ มีอิทธิพลรวมเท่ากับ 0.510</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/281422
การพัฒนากลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าวในเขตจังหวัดกำแพงเพชร
2024-10-31T15:11:44+07:00
พัตราภรณ์ อารีเอื้อ
phattraphon.ole@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าว 2) เพื่อศึกษาระดับปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าว 3) เพื่อพัฒนากลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าว 4) เพื่อประเมินกลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าวในเขตจังหวัดกำแพงเพชร วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการวิจัยและพัฒนา แหล่งข้อมูลประกอบด้วย เกษตรกรกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าวของจังหวัดกำแพงเพชรที่เป็นสมาชิกกลุ่มแปลงใหญ่ข้าว จำนวน 370 คน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หน่วยงานภาครัฐและเอกชน นักวิชาการด้านการบริหารธุรกิจ และยุทธศาสตร์ จำนวน 17, 9 และ 19 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม แบบการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม แบบตรวจสอบองค์ประกอบ กลยุทธ์ และแบบประเมินกลยุทธ์ วิเคราะห์ข้อมูลโดย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า 1) สมาชิกกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าว มีความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับการปฏิบัติการบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มฯ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ระดับปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าว ในจังหวัดกำแพงเพชร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) กลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าว ในจังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 5 กลยุทธ์คือ การบริหารจัดการการผลิตข้าว การบริหารจัดการการเงินธุรกิจข้าว การบริหารจัดการการตลาดธุรกิจข้าว พันธมิตรทางธุรกิจข้าว และการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในการดำเนินธุรกิจการเกษตร 4) ผลการประเมินกลยุทธ์การบริหารจัดการธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเกษตรประเภทข้าวในเขตจังหวัดกำแพงเพชร พบว่า วิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าประสงค์ กลยุทธ์ มาตรการ และตัวชี้วัด มีความสอดคล้องกันในระดับมากถึงมากที่สุด</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/281438
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน TikTok Shop ของลูกค้า ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
2024-10-31T15:19:02+07:00
จรรยา วังนิยม
air_care123@hotmail.com
นรภัทร สถานสถิตย์
norrapat.sat@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน TikTok Shop ของลูกค้าในเขตอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา 2) เพื่อศึกษาปัจจัยการใช้แบบฟอร์มที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน TikTok Shop ของลูกค้าในเขตอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา 3) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน TikTok Shop ของลูกค้าในเขตอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา</p> <p>และ 4) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน TikTok Shop ของลูกค้าในเขตอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา เก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน TikTok Shop ของลูกค้าในเขตอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยแบบสอบถามได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน สถิติที่ใช้คือความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>จากการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามของลูกค้าในเขตอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ทั้งหมด 400 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 21–30 ปี มีรายได้ 10,001-20,000 บาท ประกอบอาชีพนักเรียน/นักศึกษา มีการศึกษาระดับปริญญาตรี และสถานภาพโสด ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยการใช้แบบฟอร์มของแอปพลิเคชัน TikTok Shop พบว่า มีความสำคัญปานกลาง ทั้งด้านการออกแบบแพลตฟอร์ม, ด้านการใช้งานง่ายของแพลตฟอร์ม, ด้านข้อมูลสินค้าที่ครบถ้วน, ด้านข้อมูลการบริการที่ครบถ้วน, ด้านการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจและด้านความปลอดภัยด้านข้อมูลและการทำธุรกรรมต่าง ๆ ผลการวิเคราะห์พบว่า ผู้ใช้บริการแอปพลิเคชัน TikTok Shop โดยมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ในความสำคัญปานกลาง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยด้านการตัดสินใจซื้อสินค้าของแอปพลิเคชัน TikTok Shop พบว่า อยู่ในระดับ เฉย ๆ ทั้งด้านความน่าเชื่อถือของโพสต์ของบุคคลมีชื่อเสียงใน TikTok, ด้านความคิดเห็นเชิงบวก, ด้านความคิดเห็น เชิงลบ, ด้านเนื้อหาโฆษณาและด้านการตัดสินใจในการซื้อ ผลการวิเคราะห์พบว่า ผู้ใช้บริการแอปพลิเคชัน TikTok Shop โดยมีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ในระดับเฉย ๆ และผลการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน TikTok Shop พบว่า ส่วนใหญ่ซื้อสินค้าผ่าน TikTok Shop 1-2 ครั้ง/เดือน, ใช้จ่ายต่อครั้งอยู่ที่ 500 –1,000 บาท, ซื้อสินค้าประเภทสินค้าเกี่ยวกับความงาม, สาเหตุสั่งมีความต้องการสินค้าที่หลากหลาย และบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการซื้อสินค้าตัวเอง</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/281465
การศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในเขตตำบลเสาเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
2024-10-31T14:33:26+07:00
อภิรัฐ เกิดสวัสดิ์
16442027@aru.ac.th
วันทนา เนาว์วัน
wanthana_nt@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถปุระสงค์เพื่อ 1 ) ศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในเขตตำบลสำเภาล่ม และ 2) ศึกษาความต้องการและแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในเขตตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุ จำนวน 115 คน ได้มาการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.03, S.D.=0.08) เมื่อพิจารณารายด้านพบว่าอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ ด้านสภาพความเป็นอยู่ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.09,S.D.=0.73) รองลงมาคือด้านสุขภาพ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.04, S.D.=0.74) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=4.01, S.D.=0.74) ด้านกิจกรรมรวมกลุ่มทางสังคมตามลำดับ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" />=3.99, S.D.=0.90) และ 2) ความต้องการของผู้สูงอายุที่ต้องพึ่งพาตนเองในเขตตำบลสำเภาล่ม อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พบว่าผู้สูงอายุในหมู่บ้านส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ในการดูแลด้านสุขภาพ เนื่องจากรายได้ไม่มียังต้องพึ่งพาจากลูกหลาน และสนับสนุนให้สมาชิกในครอบครัวคอยรักษาและดูแลผู้สูงอายุตามความเหมาะสม มีความสอดคล้องในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อการพึ่งพาตนเองได้</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/281860
รูปแบบการยกระดับนวัตกรรมการตลาดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กลุ่มการค้าปลีกและการค้าส่งด้วยการตลาดดิจิทัลเชิงเนื้อหา
2024-11-09T09:27:38+07:00
ณัฐพงษ์ แต้มแก้ว
nattapong.tam@krirk.ac.th
สุขใจ ตันวีนุกูล
sukjai.next@gmail.com
สุพัฒน์ ธีรเวชเจริญชัย
feduspv@ku.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการจัดการรูปแบบการยกระดับนวัตกรรมการตลาดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กลุ่มการค้าปลีกและการค้าส่งด้วยการตลาดดิจิทัลเชิงเนื้อหา 2) ศึกษาอิทธิพลทางตรงและทางอ้อมของการจัดการรูปแบบการยกระดับนวัตกรรมการตลาดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กลุ่มการค้าปลีกและการค้าส่งด้วยการตลาดดิจิทัลเชิงเนื้อหา และ 3) สร้างแบบจำลองการจัดการรูปแบบการยกระดับนวัตกรรมการตลาดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กลุ่มการค้าปลีกและการค้าส่งด้วยการตลาดดิจิทัลเชิงเนื้อหาโดยการผสมผสานวิธีวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ได้กลุ่มตัวอย่างกลุ่มการค้าปลีกและการค้าส่ง จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ 9 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1) แบบสอบถาม 2) แบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการศึกษาพบว่า ระดับการจัดการเชิงกลยุทธ์ การตลาดดิจิทัลเชิงเนื้อหา ความสำเร็จทางการตลาด ปัจจัยของกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาด และความได้เปรียบทางการแข่งขันของพนักงานธุรกิจผู้ประกอบการค้าปลีกและการค้าส่ง กลุ่มตัวอย่างมีระดับความคิดเห็นค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเท่ากับ 4.17 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ทุกด้านมีความคิดเห็นค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุดคือ ด้านการตลาดดิจิทัลเชิงเนื้อหามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20 รองลงมาคือ ด้านความได้เปรียบทางการแข่งขัน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.19 และด้านปัจจัยของกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.12 ตามลำดับอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-12-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/281875
การสังเคราะห์ตัวแปรต้นและตัวแปรส่งผ่านที่ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ: การสังเคราะห์บทความวิจัยโดยวิธีการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ
2024-10-31T15:03:08+07:00
พรรษวรรณ สุขสมวัฒน์
patsawan2549@gmail.com
กฤษฎา มูฮัมหมัด
kritsaada.m@rsu.ac.th
ณกมล จันทร์สม
nakamol.c@rsu.ac.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัย 3 ข้อ ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาบริบทของบทความวิจัยที่นำมาใช้ในการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ 2) เพื่อสังเคราะห์ตัวแปรต้นและตัวแปรส่งผ่านที่ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธุรกิจประเภทต่าง ๆ และ 3) เพื่อกำหนดสมมติฐานการวิจัยเชิงปริมาณที่แสดงความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรส่งผ่านที่ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ โดยการวิจัยครั้งนี้ ใช้บทความวิจัยที่ศึกษาตัวแปรประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธุรกิจประเภทต่าง ๆ จำนวน 249 บทความ ซึ่งเป็นบทความวิจัยที่เผยแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2558-2566 จากการสืบค้นใน Google และ Google Scholar เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบบันทึกคุณลักษณะของบทความวิจัย ประกอบไปด้วย 2 ประเด็น ได้แก่ 1) ประเด็นบริบทของบทความวิจัยที่นำมาใช้ในการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ ประกอบไปด้วย ปีที่ตีพิมพ์บทความ กลุ่มประเทศที่เก็บข้อมูล และสำนักพิมพ์ และ 2) ประเด็นตัวแปรต้นและตัวแปรส่งผ่านที่ส่งผลต่อตัวแปรตาม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ตัวแปรต้นที่ส่งผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน แบ่งออกเป็น ตัวแปรต้น จำนวน 1 ตัวแปร ได้แก่ การเป็นผู้ประกอบการ ตัวแปรส่งผ่าน จำนวน 2 ตัวแปร ได้แก่ นวัตกรรม และความได้เปรียบในการแข่งขัน จากนั้นนำตัวแปรทั้งหมดมาออกแบบกรอบแนวคิดในการวิจัยเชิงปริมาณ กำหนดทิศทางความสัมพันธ์ของตัวแปร และกำหนดสมมติฐานในการวิจัยเชิงปริมาณได้ทั้งหมด 9 สมมติฐาน</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/282287
การยกระดับผลิตภัณฑ์และเพิ่มมูลค่าทางการตลาดผลิตภัณฑ์หมูทุบ ของวิสาหกิจชุมชนจังหวัดอ่างทอง
2024-10-31T14:52:33+07:00
อริยาภรณ์ จันทร์เพ็ชร์
ariyapornjanpet@gmail.com
สุนันทา คะเนนอก
sununta.kanenok@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากระบวนการผลิตและยกระดับผลิตภัณฑ์หมูทุบ 2) เพื่อการคำนวณต้นทุนกำหนดราคาขายผลิตภัณฑ์หมูทุบ และ 3) เพื่อพัฒนาและขยายช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์หมูทุบของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน จังหวัดอ่างทอง ด้วยการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมโดยได้สำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูล ประชากร คือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแม่บ้านเกษตรบ้านรีพัฒนา ตำบลบ้านรี อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง จำนวน 42 คน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง คือ กลุ่มแม่บ้านเกษตรบ้านรีพัฒนา จำนวน 10 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและสังเกตการณ์ และวิเคราะห์ผลเชิงพรรณนาจากข้อมูลที่ศึกษา</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์หมูทุบกลุ่มแม่บ้านเกษตรบ้านรีพัฒนา มีขั้นตอนการผลิต โดยเริ่มต้นจากการเลือกเนื้อหมูที่สดใหม่และมีคุณภาพดี มาล้างทำความสะอาดและตัดแต่งและหั่นเนื้อหมูตามเส้นใยกล้ามเนื้อ ให้มีขนาดความหนาบางเท่า ๆ กัน นำมาหมักกับส่วนผสมแล้วนำไปตากแดดจนแห้ง หลังจากนั้นนำมาย่างให้สุกแล้วนำไปทุบ และนำมาอบอีกครั้งก่อนบรรจุเพื่อกำจัดความชื้น แล้วจึงนำไปบรรจุในถุงสูญญากาศ บรรจุใส่กล่องและจัดจำหน่าย ผลการวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตและการกำหนดราคาขาย พบว่า มีการคำนวณต้นทุนการผลิตแต่ยังไม่ถูกต้องตามหลักการบัญชี การกำหนดราคาขายใช้วิธีการบวกกำไรจากต้นทุนที่คำนวณและดูราคาของคู่แข่งเพื่อมากำหนดราคาขายเอง จากการคำนวณต้นทุนการผลิต พบว่า ผลิตภัณฑ์หมูทุบมีต้นทุน 81.98 บาท/กล่อง (น้ำหนักบรรจุ 100 กรัม) แนวทางการวางแผนกำไรให้ผลิตภัณฑ์หมูทุบจะได้ราคาขายใหม่ โดยกำหนดอัตราส่วนเพิ่ม 100% เท่ากับ 163.96 บาทต่อกล่อง และได้มีการเพิ่มช่องทางการการตลาดผลิตภัณฑ์หมูทุบในรูปแบบออนไลน์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งช่องทาง</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/282196
สภาวะทางอารมณ์และพฤติกรรมการซื้อโดยฉับพลันที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
2024-10-31T16:54:35+07:00
ธัญนันท์ บุญอยู่
thanyanan7@gmail.com
วรพหล แสงเทียน
wsangtian@gmail.com
กนกอร บุญมาเกิด
boonmakerd2559@gmail.com
<div> <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาวะทางอารมณ์ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อโดยฉับพลัน 2) สภาวะทางอารมณ์ที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อ และ 3) พฤติกรรมการซื้อโดยฉับพลันที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ จำนวน 500 คน ใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการโครงสร้างด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ ผลการวิจัยพบว่า สภาวะทางอารมณ์และพฤติกรรมการซื้อโดยฉับพลันส่งผลทางตรงต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.560 และ 0.445 นอกจากนี้สภาวะทางอารมณ์ก็ส่งผลทางตรงต่อพฤติกรรมการซื้อโดยฉับพลันและสภาวะทางอารมณ์ก็ส่งผลทาง อ้อมต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทางเท่ากับ 0.933 และ 0.415</p> </div>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/282272
ความสุขในการทำงานที่มีผลต่อความผูกพันในองค์กรของบุคลากรสำนักงานเทศบาล ในจังหวัดสุรินทร์
2024-11-04T21:00:02+07:00
ฉัตรแก้ว เล็กวิเชียร
chatkaew8056@gmail.com
ชนม์ณัฐชา กังวานศุภพันธ์
ckjan55@gmail.com
อุบลวรรณ สุวรรณภูสิทธิ์
s_ubonwan@srru.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับความสุขในการทำงานของบุคลากรสำนักงานเทศบาลในจังหวัดสุรินทร์ 2) ศึกษาระดับความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรสำนักงานเทศบาล ในจังหวัดสุรินทร์ และ 3) ศึกษาความสุขในการทำงานที่มีผลต่อความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรสำนักงานเทศบาล ในจังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรสำนักงานเทศบาล ในจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 345 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม นำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 30-40 ปี สถาณภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ตำแหน่งข้าราชการ รายได้เฉลี่ยระหว่าง 15,000-30,000 บาท และระยะเวลาในการทำงานอยู่ระหว่าง 6-10 ปี ความสุขในการทำงานของบุคลากรสำนักงานเทศบาลในจังหวัดสุรินทร์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>4<em>.</em>38<em>) </em>เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านการมีส่วนร่วมในงาน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>4<em>.</em>47<em>) </em>รองลงมา คือ ด้านความพึงพอใจในงาน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>4<em>.</em>36<em>) </em>และต่ำสุด คือด้านความผูกพันทางจิตใจต่อองค์กร (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>4<em>.</em>32<em>) </em></p> <p>ความผูกพันต่อองค์กรของบุคลากรสำนักงานเทศบาล ในจังหวัดสุรินทร์ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>4<em>.</em>26<em>) </em>เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าค่าเฉลี่ยสูงสุด คือด้านความมุ่งมั่นทางอารมณ์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>4<em>.</em>33<em>) </em>รองลงมา คือด้านความมุ่งมั่นเชิงบรรทัดฐาน (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>4<em>.</em>33<em>) </em>และต่ำสุด คือด้านความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\bar{x}" alt="equation" /><em>=</em>4<em>.</em>11<em>) </em>การทดสอบสมมุติฐานพบว่า ตัวแปรความสุขในการทำงาน ด้านการมีส่วนร่วมในงาน ด้านความพึงพอใจในงาน และด้านความผูกพันทางจิตใจต่อองค์กร ส่งผลเชิงบวกต่อความผูกพันในองค์กรของบุคลากร สำนักงานเทศบาล ในจังหวัดสุรินทร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/282517
การศึกษาอิทธิพลของตัวแปรกำกับด้านเพศชาย เพศหญิง และเพศทางเลือก ต่อความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประสมการตลาด 7Ps กับความตั้งใจใช้บริการเสริมความงามซ้ำ
2024-11-01T15:18:01+07:00
พรทิพย์ ตันติวิเศษศักดิ์
pornthip.tan@dpu.ac.th
เพียรใจ โพธิ์ถาวร
pienjai.pho@dpu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาอิทธิพลของส่วนประสมการตลาด7Ps ที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการเสริมความงามซ้ำ 2) ศึกษาอิทธิพลตัวแปรกำกับด้านเพศต่อความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประสมการตลาด 7Ps และความตั้งใจใช้บริการเสริมความงามซ้ำ 3) ศึกษาและเปรียบเทียบความแตกต่างทางเพศที่ส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการเสริมความงามซ้ำ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสุ่ม โดยมีประชากร คือ คนไทยที่เคยใช้บริการเสริมความงามและอาศัยอยู่ในไทยระหว่างที่ทำแบบสอบถาม อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป แบ่งเป็นเพศหญิง เพศชาย และเพศทางเลือกอย่างละ 200 คน รวม 600 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Pearson Correlation) การวิเคราะห์ความสัมพันธ์และพยากรณ์ด้วยสมการถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) และการวิเคราะห์ One-way ANOVA</p> <p>ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มตัวอย่างมีการแจกแจงปกติ และตัวแปรอิสระที่ศึกษาไม่มี Multicollinearity ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนประสมการตลาด 7Ps กับความตั้งใจใช้บริการเสริมความงามซ้ำ มีค่าระหว่าง 0.426 - 0.739 ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบ Enter พบว่าส่วนประสมการตลาด 7Ps ส่งผลเชิงบวกกับความตั้งใจใช้บริการเสริมความงามซ้ำอย่างมีนัยสำคัญ สามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 28.90 (R<sup>2</sup>) และเมื่อมีเพศเป็นตัวกำกับทำให้ค่าพยากรณ์เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 29.80 (R<sup>2</sup>) นอกจากนี้ยังพบว่าเพศที่แตกต่างกันส่งผลต่อความตั้งใจใช้บริการเสริมความงามซ้ำต่างกัน ผลการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ให้ผู้ประกอบการบริการเสริมความงามเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม และทำการออกแบบกลยุทธ์ที่เหมาะสมได้ บทความวิจัยนี้ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ หมายเลขใบรับรอง COA011/67</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/282586
การประยุกต์ใช้หลัก 7Rs ด้านโลจิสติกส์ เพื่อเพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว กรณีศึกษาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรจังหวัดจันทบุรี
2024-11-01T15:28:10+07:00
มาลัย โพธิพันธ์
malai_po@rmutto.ac.th
พูลศิริ ประคองภักดิ์
Poonsiri_pr@rmutto.ac.th
ศรีวารี สุจริตชัย
Sriwaree_su@rmutto.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ประเมินศักยภาพของแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดจันทบุรี ศึกษาพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว และสร้างแบบจำลองการท่องเที่ยวด้วยหลัก 7Rs ด้านโลจิสติกส์ ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการที่เปิดให้บริการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในรูปแบบสวนผลไม้ 22 สวน และนักท่องเที่ยว 120 ราย การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) เพื่ออธิบายข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ความถี่และค่าร้อยละ (Percentage) สำหรับข้อมูลแบบนามบัญญัติ</p> <p>ผลวิจัยพบว่าผู้ประกอบการมีความพร้อมมากที่สุดในด้านจัดการอาหารที่รองรับนักท่องเที่ยว ความพร้อมด้านกระบวนการจัดการท่องเที่ยว ผลการสำรวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวพบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มาแบบกลุ่มทัวร์โดยได้รับข้อมูลมาจากเว็บไซต์ผ่านอินเตอร์เน็ตและเพื่อน/ญาติหรือคนรู้จัก ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อการเดินทางท่องเที่ยวต่อครั้งคือ 10,000 – 20,000 บาท กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมมากที่สุด คือ การทานผลไม้สดจากสวน การซื้อผลไม้เป็นของฝาก การได้รับประทานอาหารพื้นเมือง และการเดินเที่ยวชมสวน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่บอกต้องการกลับมาท่องเที่ยวอีกครั้งอย่างแน่นอน จากการสำรวจข้อมูลทั้งด้านความพร้อมของผู้ประกอบการและความต้องการของนักท่องเที่ยว พบว่ามุมมองของการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในรูปแบบของสวนผลไม้นั้น มีมุมมองที่มีความคล้ายคลึงกัน เมื่อประเด็นความคาดหวังของนักท่องเที่ยวสอดคล้องกับศักยภาพของผู้ให้บริการอย่างชาวสวนหรือผู้ประกอบการอื่น ๆ เราสามารถคิดแบบจำลองการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยใช้หลัก 7Rs ด้านโลจิสติกส์มาใช้เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงการนำหลักการอื่น ๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อเป็นเครื่องมือทางการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตร</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/282883
การเลือกใช้บริการขนส่งน้ำดื่มโดยใช้กระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้น กรณีศึกษาผู้ประกอบการโรงงานน้ำดื่ม กรณีศึกษา บริษัท LOG จำกัด
2024-11-15T16:23:34+07:00
ธนิษฐ์นันท์ จันทร์แย้ม
thanitnan.23@gmail.com
ถิรนันท์ ทิวาราตรีวิทย์
Thiranan@vru.ac.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้ประกอบการ วิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัย และนำเสนอแนวทางในการเลือกใช้บริการในการขนส่งโรงงานน้ำดื่ม บริษัท LOG จำกัด ในการเลือกบริการขนส่ง โดยได้แบ่งปัจจัยหลักในการพิจารณาออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1) ปัจจัยด้านลักษณะองค์กร 2) ปัจจัยด้านการบริการลูกค้า และ 3) ปัจจัยด้านต้นทุน โดยในแต่ละด้านประกอบด้วยปัจจัยย่อยรวม 12 ปัจจัย มีวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบ In-depth Interview โดยเลือกพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญในด้านขนส่งและมีส่วนเกี่ยวข้องกับหน้าที่ขนส่ง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์ตามกระบวนการวิเคราะห์ตามลำดับชั้น (AHP) และสถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ การตรวจสอบความสอดคล้อง (Consistency Ratio - CR) การตรวจสอบความสอดคล้องกันของเหตุผล (Consistency Ratio: C.R) ค่า Eigenvector ค่าดัชนีความสอดคล้องตามขนาดของเมตริกซ์ (Random Consistency Index:: R.I.) ในการวิจัยครั้งนี้ได้มีการวิเคราะห์เปรียบเทียบปัจจัยเหล่านี้เพื่อให้ได้ทางเลือกที่เหมาะสมในการใช้บริการขนส่งน้ำดื่ม</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยที่มีผลกระทบมากที่สุดในการเลือกบริการขนส่งน้ำดื่ม คือ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าซ่อมบำรุงยานพาหนะ ซึ่งมีน้ำหนักคิดเป็นร้อยละ 23 เมื่อเปรียบเทียบปัจจัยทั้งหมด ทางเลือกที่มีน้ำหนักความสำคัญสูงสุด คือ การใช้บริการขนส่งแบบผสม คิดเป็นร้อยละ 43 รองลงมาคือ การใช้บริการขนส่งแบบรถร่วม คิดเป็นร้อยละ 41 และน้อยที่สุดคือ การใช้บริการขนส่งโดยรถของโรงงาน คิดเป็นร้อยละ 16 โดยผลที่ได้ผู้ประกอบการสามารถนำไปเขียนเป็นแผนการของการเลือกใช้บริการขนส่งเพื่อให้สามารถลดต้นทุนและแนวทางในการบริหารจัดการผู้ให้บริการขนส่ง</p>
2024-12-25T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์