https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/issue/feed
วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
2025-08-31T00:00:00+07:00
วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
msarujournal@gmail.com
Open Journal Systems
<p>วารสารวิทยาการจัดการ เปิดรับบทความวิจัยเต็มรูปแบบ (Full Paper) และบทความวิชาการ (Academic Article) จากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัย โดยบทความดังกล่าวจะต้องไม่เคยเผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และเป็นข้อคิดเห็นของผู้ส่งบทความเท่านั้น โดยบทความจะต้องผ่านการตรวจสอบการลอกเลียนวรรณกรรมทางวิชาการ (copycatch) ไม่เกิน 10%</p> <p><strong> </strong><strong>ประเภทของบทความ</strong></p> <p> บทความวิชาการ (Academic Article) บทความวิจัย (Research Article) โดยวารสารจะรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ บทความที่นำเสนอในวารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์ ประกอบด้วย ศาสตร์ทางด้านบริหารธุรกิจ การจัดการ เศรษฐศาสตร์ บัญชีการเงิน การท่องเที่ยว ทรัพยากรมนุษย์ คอมพิวเตอร์ธุรกิจ และศาสตร์อื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับบริหารธุรกิจ </p> <p><strong> </strong><strong>เกณฑ์การพิจารณาบทความ</strong></p> <p> บทความจะผ่านการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาไม่น้อยกว่า 3 ท่าน และบทความจะต้องผ่านการประเมินในระดับดีจากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ท่านขึ้นไป ซึ่งกองบรรณาธิการอาจให้ผู้เขียนปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และทรงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการตัดสินการตีพิมพ์ให้หรือไม่ก็ได้</p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมและ</strong><strong>ระยะเวลาเผยแพร่</strong></p> <p> วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา เป็นวารสารที่เผยแพร่เป็นประจำ ปีละ 3 ฉบับ คือ เดือนมกราคม – เมษายน เดือนพฤษภาคม – สิงหาคม และเดือนกันยายน – ธันวาคม</p> <p> โดยวารสารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมตีพิมพ์บทความละ 3,000 บาท ท่านสามารถชำระอัตราค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ หลังจากบรรณาธิการตอบรับบทความเบื้องต้นก่อนส่งผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความเท่านั้น (กรณีบทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ วารสารจะไม่คืนค่าธรรมเนียมในทุกกรณี)</p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/289470
การท่องเที่ยวชุมชนเพื่อสัตว์เลี้ยง : โอกาสที่ยังไม่ถูกใช้
2025-06-26T09:52:53+07:00
กุญช์ภัสส์ บุญปลูก
kunyapas.b@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพของการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนเพื่อรองรับสัตว์เลี้ยง (Pet-friendly Community Tourism) ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ที่ตอบรับกระแส Pet Humanization หรือการเลี้ยงสัตว์เสมือนสมาชิกในครอบครัว เน้นสุนัขสัตว์เลี้ยงเป็นหลักที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในสังคมไทย การวิจัยนี้นำเสนอรูปแบบ “PETS Model” ที่ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) P (Prepare) การเตรียมความพร้อมของชุมชนในด้านทรัพยากร วัฒนธรรม บุคลากร และการจัดการ 2) E (E-Commerce) พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบของการตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) และแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อขยายการเข้าถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีสัตว์เลี้ยง 3) T (Technology) การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มคุณภาพการบริการ อาทิ บริการสุขภาพสัตว์ทางไกล แอปพลิเคชันดูแลสัตว์ และอุปกรณ์อัจฉริยะ 4) S (Social Responsibility) การส่งเสริมความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างชุมชนและนักท่องเที่ยว เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างยั่งยืน บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การท่องเที่ยวชุมชนเพื่อสัตว์เลี้ยงไม่เพียงเป็นโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ แต่ยังส่งเสริมบทบาทของชุมชนในการจัดการแหล่งท่องเที่ยว โดยอาศัยการมีส่วนร่วมของคนในพื้นที่ การใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ และการเชื่อมโยงกับแนวโน้มตลาดสัตว์เลี้ยงระดับโลก ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวใหม่ที่เป็นมิตรกับทั้งคนและสัตว์ และสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/289727
ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์เทคโนโลยีพลิกโฉมธุรกิจ
2025-06-24T21:30:48+07:00
สุภาพร ณ หนองคาย
suphaphon_na@aru.ac.th
<p>บทความวิชาการนี้ เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Generative AI) หรือ GAI คือ ปัญญาประดิษฐ์ประเภทหนึ่งที่ใช้อัลกอรึทึมในการเรียนรู้ชุดข้อมูลเพื่อสร้างผลลัพธ์ใหม่ที่คล้ายคลึงกันแต่แตกต่างจากข้อมูลต้นฉบับ เช่น ตัวอักษรที่เป็นข้อความ โดยใช้การประมวลผลและตอบคำถาม รูปภาพ เสียง วิดีโอ งานออกแบบดีไซน์ ภาษาโปรแกรม คอมพิวเตอร์รวมถึงข้อมูลสังเคราะห์ เป็นต้น ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์กำลังเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงธุรกิจ เนื่องจากได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับนักสร้างสรรค์และนักออกแบบในแวดวงอุตสาหกรรมและธุรกิจ โดยได้นำมาปรับใช้ในการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เนื่องจากช่วยทำให้ประหยัดเวลาและเกิดประสิทธิภาพ ในการทำงานมากขึ้น การใช้ปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์<strong>ในงานทางด้านธุรกิจ</strong> เช่น การตลาด การเงิน การศึกษา การผลิตและบริการ <strong>การสร้างสรรค์งานศิลปะและบันเทิง</strong><strong> </strong>รวมไปถึงการสร้างไอเดียในการทำคอนเทนต์ </p> <p>บทความนี้มุ่งเน้นการอธิบายความหมาย ความสามารถและบทบาทของปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ในบริบทของการใช้สนับสนุนการทำงานในภาคธุรกิจ เพื่อให้ประชาคมภาคธุรกิจได้เข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยปัจจัยที่ส่งผลต่ออนาคตของปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ในโลกธุรกิจ ประกอบไปด้วยการพิจารณาหัวข้อการใช้เทคโนโลยีหลัก ผลกระทบต่อธุรกิจ ร่วมกับการพิจารณาความท้าทายและความเสี่ยงในการดำเนินงานเพื่อนำไปสู่การปรับตัวของธุกิจในอนาคตต่อไป</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/285515
ปัจจัยการตลาดบริการที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อเครื่องดื่มสุขภาพของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทรา
2025-06-23T10:19:31+07:00
ธนเดช กังสวัสดิ์
thanadech@yahoo.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการบริโภคการเลือกซื้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทรา 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อการเลือกซื้อเครื่องดื่มสุขภาพในจังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคที่เคยซื้อเครื่องดื่มสุขภาพและอาศัยในพื้นที่ 11 อำเภอ ในจังหวัดฉะเชิงเทรา โดยใช้วิธีการเลือกแบบสะดวก (Convenience Sampling) จากประชากรใน 11 อำเภอของจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 407 ตัวอย่าง ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมานเพื่อทดสอบสมติฐานใช้สถิติไคสแควร์ อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05</p> <p>ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง จำนวน 249 คน มีอายุ 20-29 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี และมีรายได้ 15,001-20,000 บาท และปัจจัยตลาดบริการที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน ได้แก่ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านลักษณะกายภาพ ด้านกระบวนการ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านส่งเสริมการขาย และด้านบุคคล และปัจจัยส่วนบุคคลได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้ และสถานภาพที่แตกต่างมีพฤติกรรมการเลือกซื้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ต่างกันทุกประเด็น ส่วนปัจจัยการตลาดบริการทั้ง 7 ด้าน ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านกระบวนการ ด้านบุคคล และด้านลักษณะทางกายภาพ มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในจังหวัดฉะเชิงเทรา</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/285797
การปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดส่งสินค้าให้ทันเวลาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า กรณีศึกษา บริษัท FFF จำกัด
2025-06-23T10:27:54+07:00
สมาพร ฉายาวรรณ
samaporn.cha@vru.ac.th
ธนิษฐ์นันท์ จันทร์แย้ม
Thanitnan@vru.ac.th
กิตินันธ์ มากปรางค์
Kittinun@vru.ac.th
นิศากร มะลิวัลย์
nisakorn@vru.ac.th
วัชรพล วงศ์จันทร์
Watcharaphon@vru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาปัญหาและหาสาเหตุของความล่าช้าในการจัดส่งสินค้า (2) ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการจัดส่งให้เป็นไปตามเป้าหมายขององค์กร (OTIF > 95.00) และ (3) สร้างความเชื่อมั่นพร้อมทั้งเพิ่มความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยสุ่มตัวอย่างประเมินผลจากคำสั่งซื้อจำนวน 14 รายการ รวมทั้งสิ้น 392,600 ชิ้น มูลค่ารวม 1,756,620 บาท ระดับความเชื่อมั่นเฉลี่ยของค่า OTIF ก่อนการปรับปรุงอยู่ที่ร้อยละ 90 และเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 97 หลังการปรับปรุง เป็นการเก็บข้อมูลดำเนินการในลักษณะทั้งข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ โปรแกรม Microsoft Excel สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล, ทฤษฎี ABC Analysis สำหรับจัดลำดับความสำคัญของสินค้า (Gopalakrishnan & Sundaresan, 1977), การวิเคราะห์สาเหตุโดยใช้แผนผังก้างปลา (Fishbone Diagram), การปรับปรุงกระบวนการโดยใช้วงจร PDCA และการวิเคราะห์ผลการส่งมอบโดยใช้ตัวชี้วัด OTIF (On Time In Full) ซึ่งสะท้อนประสิทธิภาพของการส่งมอบสินค้าอย่างครบถ้วนและตรงเวลา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การเพิ่มขึ้นของค่า OTIF อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) สะท้อนว่าการส่งมอบสินค้าที่ถูกต้อง ครบถ้วน และตรงเวลา เป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรอย่างยั่งยืน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/285915
การออกแบบและพัฒนาระบบฐานข้อมูลสารสนเทศของบุคลากร คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2025-06-24T20:18:24+07:00
ณัฐชริการ์ รุกิจเจริญ
nutchari@tu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและวางแผนการจัดทำฐานข้อมูลสารสนเทศ 2) การออกแบบระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นและความพึงพอใจของผู้ใช้งานระบบฐานข้อมูลสารสนเทศของบุคลากร คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลุ่มประชากรตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ บุคลากรคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ การเก็บรวบรวมข้อมูล ศึกษาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำรวจสภาพปัญหาของระบบการทำงานปัจจุบัน หน่วยงานที่มีระบบจัดเก็บฐานข้อมูลบุคลากร และแบบสอบถามจากผู้ใช้งานระบบ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล 1) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง 2) ระบบฐานข้อมูลสารสนเทศ และ 3) แบบประเมินความคิดเห็นและความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน รวมถึงการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) องค์ประกอบหลักในการออกแบบและพัฒนาระบบฐานข้อมูลมี 6 ด้าน แบ่งเป็นองค์ประกอบย่อย 29 รายการ 2) กระบวนการพัฒนาระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การศึกษาระบบ การวิเคราะห์ระบบ การออกแบบระบบ การพัฒนา และการนำไปใช้ ผู้ทดลองใช้งานระบบมีความคิดเห็นและความพึงพอใจในการประเมินทุกด้าน ผลลัพธ์อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̄ =4.82, S.D.=0.26) และ 3) ผู้ใช้งานมีความคิดเห็นและความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก (𝑥̄ =4.00, S.D.=0.64) และทุกด้านนั้นมีระดับความคิดเห็นและความพึงพอใจ อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความคิดเห็นและความพึงพอใจในด้านความยากง่ายต่อการใช้งานของระบบ อยู่ในระดับมาก (𝑥̄ =4.15, S.D.=0.67) รองลงมา คือ ด้านความถูกต้องในการทำงานของระบบ อยู่ในระดับมาก (𝑥̄ =3.95, S.D.=0.60) และด้านความปลอดภัยของข้อมูล อยู่ในระดับมาก (𝑥̄ =3.95, S.D.=0.99) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าระบบที่พัฒนาขึ้นสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/286058
ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะวิชาชีพบัญชีกับความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชียุคดิจิทัล ในสำนักงานบัญชี จังหวัดนนทบุรี
2025-06-23T16:46:49+07:00
สุนันทา สังขทัศน์
susang@rpu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทักษะวิชาชีพบัญชีของนักบัญชียุคดิจิทัล 2) ศึกษาความสำเร็จใน การปฏิบัติงานของนักบัญชียุคดิจิทัล และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทักษะวิชาชีพบัญชีกับความสำเร็จในการปฏิบัติงานของนักบัญชียุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่างคือนักบัญชีในสำนักงานบัญชี จังหวัดนนทบุรี เลือกกลุ่มตัวอย่างอย่างง่ายแบบแบ่งสัดส่วน ได้ 159 ตัวอย่าง การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอมถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่าทักษะวิชาชีพบัญชีของนักบัญชียุคดิจิทัลในสำนักงานบัญชี จังหวัดนนทบุรีอยู่ในระดับมาก มี ด้านจรรยาบรรณวิชาชีพบัญชี ด้านความรู้ความชำนาญทางวิชาชีพบัญชี ด้านการจัดการและด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มีความคิดเห็นต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานในสำนักงานบัญชีอยู่ในระดับมาก มีด้านคุณภาพของงาน ด้านการยอมรับและความ พึงพอใจกับผู้เกี่ยวข้อง และด้านกระบวนการปฎิบัติงานและมาตรฐาน ความสัมพันธ์ระหว่างทักษะวิชาชีพบัญชีกับความสำเร็จในการปฏิบัติงาน พบว่าทักษะวิชาชีพบัญชีในยุคดิจิทัลมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกับความสำเร็จของการปฏิบัติงาน ซึ่ง บ่งบอกว่าทักษะของนักบัญชีมีผลต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงาน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ 0.275</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/287436
กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการและคุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้า ธุรกิจฟาร์มไก่ชนในภาคตะวันตก
2025-06-24T20:40:25+07:00
อุดมศักดิ์ กำปั่นวงศ์
udomsak19012568@gmail.com
วัชระ เวชประสิทธิ์
watchara.wet@mail.pbru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ระดับกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ คุณค่าตราสินค้าและความภักดีของลูกค้าธุรกิจไก่ชนในภาคตะวันตก 2) กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าธุรกิจไก่ชนในภาคตะวันตก และ 3) คุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าธุรกิจฟาร์มไก่ชนในภาคตะวันตก เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่าง คือ ลูกค้าที่ซื้อไก่ชนจากฟาร์มไก่ชนต่าง ๆ ในพื้นที่เขตภูมิภาคตะวันตก จำนวน 385 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.99 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ ความถดถอยแบบพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการโดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.44) ด้านการประชาสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด คุณค่าตราสินค้าโดยรวมอยู่ในระดับมาก (= 4.48) ด้านการเชื่อมโยงตราสินค้ามีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และความภักดีของลูกค้าโดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.58) 2) กลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าธุรกิจฟาร์มไก่ชนในภาคตะวันตก ได้แก่ ด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านการขายโดยใช้พนักงานขาย โดยมีประสิทธิภาพการทำนายร้อยละ 57.10 3) คุณค่าตราสินค้าที่ส่งผลต่อความภักดีของลูกค้าธุรกิจฟาร์มไก่ชนในภาคตะวันตก ได้แก่ ด้านการตระหนักรู้ชื่อตราสินค้าและด้านการเชื่อมโยงตราสินค้า โดยมีประสิทธิภาพการทำนายร้อยละ 82.60</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/287549
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าจากร้าน 7-11 ในอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา
2025-06-23T16:50:39+07:00
นรภัทร สถานสถิตย์
norrapat.sat@gmail.com
จรรยา วังนิยม
air_care123@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการซื้อและการตัดสินใจซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน 2) เพื่อศึกษาถึงปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน 3) เพื่อศึกษาปัจจัยทางการตลาดที่มีความสัมพันธ์ต่อการตัดสินใจซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือกลุ่มผู้บริโภคที่ซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานจากร้าน 7-11 ในอำเภอเมืองจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 400 คน การสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Convenience Sampling ) เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม (Questionnaire) และใช้สถิติ Chi-square และCorrelation ในการทดสอบผลการวิจัย</p> <p>ผลการวิจัยพบว่าส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุอยู่ในช่วง 20- 39 ปี อาชีพนักเรียน/นักศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท สถานภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรี มีพฤติกรรมการซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน โดยส่วนใหญ่ เฉลี่ยซื้ออาทิตย์ละ 1 ครั้ง ซื้อช่วงมื้อเย็น เป็นอาหารประเภทข้าวราด ยี่ห้ออีซี่ ซื้อเพราะหาซื้อได้ง่ายและสะดวก ซึ่งปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานที่แตกต่างกัน ยกเว้น ปัจจัยด้าน เพศ กับระดับการศึกษา มีพฤติกรรมด้านเหตุผลที่ซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานที่ไม่แตกต่างกันตามสมมติฐานที่ 1 ส่วนปัจจัยประสมทางการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์กับด้านสถานที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านราคากับด้านการส่งเสริมการตลาดอยู่ในระดับปานกลาง และการตัดสินใจซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทาน ทุกด้านอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งนี้ปัจจัยด้านปัจจัยทางการตลาดมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้ออาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานตามสมมติฐานที่ 2</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/287673
การประยุกต์ใช้การแบ่งกลุ่มสินค้า ABC และ EOQ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลังอุปกรณ์สำนักงาน: กรณีศึกษาบริษัท XYZ จำกัด
2025-06-24T20:46:06+07:00
มณิการ์ จันทร์แก้ว
manika.jun@vru.ac.th
ถิรนันท์ ทิวาราตรีวิทย์
thiranan@vru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อวิเคราะห์การจัดกลุ่มอุปกรณ์สำนักงานตามความสำคัญด้วยหลักการแบ่งกลุ่มสินค้า ABC (2) เพื่อคำนวณหาปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสม (EOQ) สำหรับอุปกรณ์สำนักงาน และ (3) เพื่อเปรียบเทียบต้นทุนการสั่งซื้อของกรณีศึกษาบริษัท XYZ จำกัด เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยใช้ข้อมูลการสั่งซื้อย้อนหลัง 12 เดือน เก็บรวบรวมข้อมูลรายงานการสั่งซื้อสินค้า โดยใช้โปรแกรม Microsoft Excel และวิเคราะห์ผลด้วยการแบ่งกลุ่มสินค้า ABC ,วิเคราะห์ปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมด้วยสูตร EOQ และจุดสั่งซื้อใหม่ ROP</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า สินค้ากลุ่ม A จำนวน 4 รายการ มีมูลค่า 559,898.90 บาท คิดเป็นร้อยละ 76.31 ของมูลค่าทั้งหมด กลุ่ม B จำนวน 5 รายการ มีมูลค่า 145,349.87 บาท คิดเป็นร้อยละ 19.81 และกลุ่ม C จำนวน 7 รายการ มีมูลค่า 28,435.25 บาท คิดเป็นร้อยละ 3.88 จากนั้นนำสินค้ากลุ่ม A และ B มาคำนวณหาปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมด้วยสูตร EOQ และจุดสั่งซื้อใหม่ ROP ซึ่งโดยการประยุกต์ใช้ EOQ สามารถลดต้นทุนรวมในการบริหารสินค้าคงคลังได้ 6,840.79 บาทต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 42.94 และช่วยกำหนดจุดสั่งซื้อที่เหมาะสม ลดปัญหาสินค้าขาดมือและสินค้าคงคลังมากเกินความจำเป็น การวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการใช้เทคนิคการแบ่งกลุ่มสินค้า ABC ร่วมกับ EOQ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง ลดต้นทุน และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/288880
แนวทางการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก
2025-06-23T20:58:35+07:00
ดุษฎี มุกดาอ่อน
paewvaew12@rmutl.ac.th
ณัชชิยา โม้ฟู
natchiyamofu@rmutl.ac.th
สุวัจนกานดา พูลเอียด
pooleaid@rmutl.ac.th
ศิริศักดิ์ ศักดิ์ศิริคุณ
clikflip@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบที่ส่งผลต่อศักยภาพของผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก 2) เพื่อพัฒนารูปแบบผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมอำเภอพบพระ จังหวัดตาก 3) เพื่อพัฒนาคู่มือการใช้รูปแบบการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมอำเภอพบพระ จังหวัดตาก เป็นการผสมผสานงานวิจัยเชิงปริมาณและงานวิจัยเชิงคุณภาพ ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างกับสถานประกอบการที่เกี่ยวข้อง และการเก็บแบบสอบถามจากผู้ประกอบการ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ กำหนดผู้ให้ข้อมูลหลักคือผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคมในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก โดยใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งเป็นการเลือกโดยพิจารณาตามเหตุผลในการวิจัย โดยอาศัยความรอบรู้ ความชำนาญและประสบการณ์ของผู้ให้ข้อมูล จำนวน 400 คน ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ ผู้ประกอบการ ดำเนินธุรกิจมาไม่ต่ำกว่า 2 ปี ประกอบไปด้วย ผู้ประกอบการธุรกิจเพื่อสังคม อำเภอพบพระจำนวน 5 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด คือ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) สอบถาม 3) สนทนากลุ่ม สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ละสถิติอ้างอิง ได้แก่ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis) และการวิเคราะห์ในรูปแบบนิรนัย (Deductive Reasoning) </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบส่วนใหญ่เป็นเป็นเพศชาย มีอายุน้อยกว่า 35ปี ระดับการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี มีประสบการณ์ทำงานอยู่ที่ น้อยกว่า 5 ปี ระยะเวลาการดำเนินการน้อยกว่า 5 ปี บุคลากรในองค์กร จำนวนน้อยกว่า 50 คน ผลการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ด้วยวิธีแบบขั้นตอน (Stepwise) พบว่ามีตัวแปรอิสระทั้งหมด 4 ตัวแปร ที่เข้าสู่สมการถดถอยพหุคูณอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ มิติด้านความเป็นผู้ประกอบการ มิติด้านการบริหารจัดการ มิติด้านการตลาดธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับธุรกิจเพื่อสังคม มิติด้านความรู้และเทคโนโลยี โดยมีค่าประสิทธิภาพในการทำนายที่ปรับแล้ว (Adjusted R Square) โดยมีค่าประสิทธิภาพในการทำนายที่ปรับแล้ว (Adjusted R Square) เท่ากับ .673 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 เป็นการเพิ่มขึ้นในด้านความรู้และเทคโนโลยี (T) จะทำให้ค่าความสำเร็จของธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.355 หน่วย ขณะที่การส่งเสริมด้านการตลาดธุรกิจบริการเพื่อสังคม (SBC) จะช่วยเพิ่มความสำเร็จ 0.280 หน่วย ด้านความเป็นผู้ประกอบการ (ETP) มีผลต่อความสำเร็จในระดับ 0.169 หน่วย และสุดท้าย ด้านการบริหารจัดการ (M) มีผลต่อความสำเร็จในระดับ 0.118 หน่วย ซึ่งจากค่าสัมประสิทธิ์ที่ได้แสดงให้เห็นว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงที่สุดต่อความสำเร็จของธุรกิจเพื่อสังคมในพื้นที่ คือ ด้านความรู้และเทคโนโลยี รองลงมาคือ ด้านการตลาดธุรกิจบริการเพื่อสังคม ตามด้วย ด้านความเป็นผู้ประกอบการ และด้านการบริหารจัดการ ตามลำดับ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/288999
การวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการใช้รถบรรทุกไฟฟ้า สำหรับการขนส่งชิ้นส่วนยานยนต์ กรณีศึกษา บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แห่งหนึ่ง
2025-06-26T09:50:11+07:00
ณัฐนันท์ ฐนภณเศรษฐ์
nattanan185@gmail.com
ไพโรจน์ เร้าธนชลกุล
pairoj@go.buu.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบต้นทุนการดำเนินการระหว่างรถบรรทุกไฟฟ้าประเภท 6 ล้อกับรถบรรทุกดีเซลที่ใช้ในกระบวนการขนส่งชิ้นส่วนยานยนต์ 2) เพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าและจุดคุ้มทุนของการใช้รถบรรทุกไฟฟ้าในระยะยาวเปรียบเทียบกับการใช้รถบรรทุกดีเซล สำหรับการขนส่งชิ้นส่วนยานยนต์ โดยใช้กรณีศึกษาจากบริษัทโลจิสติกส์ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยนี้เป็นการศึกษาเชิงกรณีเฉพาะ (Case Study Research) โดยมุ่งวิเคราะห์ข้อมูลจากบริษัทผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายหนึ่ง ซึ่งดำเนินการขนส่งชิ้นส่วนยานยนต์ภายในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ใช้การเลือกหน่วยวิเคราะห์แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งให้บริการขนส่งแก่โรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ใน 42 เส้นทาง เป็นระยะเวลา 3 ปี วิเคราะห์ผลโดยการศึกษาข้อมูลต้นทุนจากการดำเนินงานจริง ได้แก่ ค่าเช่ารถรายเดือน ค่าพลังงาน และต้นทุนแฝงอื่น ๆ โดยจำแนกเส้นทางออกเป็น 4 กลุ่มตามลักษณะการใช้งาน และวิเคราะห์เปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างรถทั้งสองประเภท ด้วย 3 เกณฑ์หลัก ได้แก่ ต้นทุนเฉลี่ยต่อเที่ยว จุดคุ้มทุน และแนวโน้มต้นทุนสะสมรายเดือน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า รถบรรทุกไฟฟ้ามีต้นทุนเฉลี่ยต่อเที่ยวต่ำกว่ารถดีเซลในเส้นทางที่มีความถี่การใช้งานสูง และระยะทางไม่เกิน 120 กิโลเมตร โดยประหยัดได้เฉลี่ย 129–517 บาทต่อเที่ยว หรือร้อยละ 8–28 และสามารถคืนทุนได้ทันทีตั้งแต่เริ่มใช้งานในกลุ่มเส้นทางที่ 1–3 ขณะที่กลุ่มเส้นทางที่ 4 ซึ่งมีลักษณะวิ่งน้อย ระยะทางไกล และไม่มีโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ รถบรรทุกไฟฟ้ามีต้นทุนสูงกว่า (มากกว่า 1,300 บาทต่อเที่ยว) และไม่คืนทุนภายใน 3 ปี ผู้วิจัยเสนอว่า การเลือกใช้รถบรรทุกควรสอดคล้องกับลักษณะเส้นทาง และควรใช้การวิเคราะห์ต้นทุนเชิงลึกร่วมด้วย เช่น จุดคุ้มทุน และต้นทุนสะสม พร้อมพิจารณานโยบายสนับสนุนภาครัฐ เช่น การให้เครดิตภาษีเพื่อเพิ่มความคุ้มค่าในระยะยาว</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/289182
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเชิงกาแฟในจังหวัดปทุมธานี
2025-06-24T20:50:34+07:00
พัชราภรณ์ จันทรฆาฎ
patcharaporn.jan@vru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคลที่แตกต่างกันมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเชิงกาแฟในจังหวัดปทุมธานี 2) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเชิงกาแฟในจังหวัดปทุมธานี เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวร้านกาแฟหรือคาเฟ่ในจังหวัดปทุมธานี มีวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิจัย การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ใช้การวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t - Test และ One-way ANOVA</p> <p>ผลวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคลด้านรายได้มีผลต่อพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับ ประสบการณ์ต่อร้านกาแฟ วัตถุประสงค์ของการเดินทางไปร้านกาแฟ แหล่งข้อมูลในการเดินทางมาร้านกาแฟ ยานพาหนะที่ใช้เดินทางมา ผู้ร่วมเดินทางมา โอกาสในการเดินทางมาร้านกาแฟ ความถี่ในการมาร้านกาแฟ ค่าใช้จ่ายต่อครั้ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวเชิงกาแฟ พบว่า แหล่งข้อมูลในการเดินทางมาร้านกาแฟ ผู้ร่วมเดินทางมาร้านกาแฟ ค่าใช้จ่ายต่อครั้ง พบว่า มีทั้งหมด 5 ด้าน ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านส่งเสริมการขาย ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านบุคลากร และด้านกระบวนการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/289419
ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการสั่งซื้ออาหารออนไลน์ ของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทรา
2025-06-24T20:54:59+07:00
กรรณิการ์ มาระโภชน์
kannika.mar@rru.ac.th
พีรพัฒน์ ปิยะจันทร์
Peraphat.piy@rru.ac.th
อรนุช กฤตยขจรสกุล
Oranuch.kit@rru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ที่ส่งผลต่อการบริการสั่งซื้ออาหารออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทรา และ 2) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการสั่งซื้ออาหารออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่เคยใช้บริการสั่งซื้ออาหารออนไลน์ในจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 385 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างจากประชากรที่ไม่ทราบจำนวนแน่นอน ตามสูตรของ Cochran (1953) กำหนดระดับความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95 และค่าคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ร้อยละ 5 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการสั่งซื้ออาหารออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทราอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้แก่ อายุ อาชีพ รายได้ต่อเดือน ช่องทางที่ใช้บริการ การใช้จ่ายต่อครั้งโดยเฉลี่ย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ส่วนประสมทางการตลาด 7Ps ที่มีผลต่อการตัดสินใจใช้บริการสั่งซื้ออาหารออนไลน์ พบว่าด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านส่งเสริมการตลาด เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจสูงสุด รองลงมาคือด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านบุคคล ประกอบกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมมีผลทางบวกต่อการตัดสินใจใช้บริการสั่งซื้ออาหารออนไลน์ของผู้บริโภคในจังหวัดฉะเชิงเทราอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/288731
ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของคุณภาพระบบ การให้บริการ และการยอมรับเทคโนโลยี ในการใช้ซอฟต์แวร์บริหารจัดการและบัญชีของวิสาหกิจชุมชน จังหวัดจันทบุรี
2025-06-24T21:00:44+07:00
จิรานุช ยวงทอง
jiranoot_yu@rmutto.ac.th
ปัทมา เกรัมย์
pattama_ka@rmutto.ac.th
นริส อุไรพันธ์
naris_ur@rmutto.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสัมพันธ์เชิงสาเหตุของคุณภาพระบบ คุณภาพการให้บริการ และการยอมรับเทคโนโลยีในการใช้ซอฟต์แวร์บริหารจัดการและบัญชีของวิสาหกิจชุมชน จังหวัดจันทบุรี และ (2) วิเคราะห์เส้นทางอิทธิพลระหว่างคุณภาพระบบ คุณภาพการให้บริการ และการยอมรับเทคโนโลยี เป็นการศึกษาเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามเก็บข้อมูลจากสมาชิกวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดจันทบุรี จำนวน 400 ราย เลือกตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามสัดส่วนของอำเภอ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามออนไลน์และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติแบบจำลองสมการโครงสร้างโดยการวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพล</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า แบบจำลองมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดีมาก โดยมีค่าสถิติ c<sup>2</sup>/df = 1.16, p-value = 0.20, GFI = 0.98, AGFI = 0.96, CFI = 0.99, RMSEA = 0.02 และ RMR = 0.01 คุณภาพของระบบมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อคุณภาพการให้บริการ และการยอมรับเทคโนโลยี นอกจากนี้ คุณภาพการให้บริการยังมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกต่อการยอมรับเทคโนโลยี อีกทั้งคุณภาพของระบบยังมีอิทธิพลทางอ้อมต่อการยอมรับเทคโนโลยีผ่านคุณภาพการให้บริการ ข้อค้นพบดังกล่าวสะท้อนว่าการพัฒนาระบบที่เสถียร ใช้งานง่าย และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดี จะช่วยยกระดับคุณภาพการให้บริการและเพิ่มโอกาสให้วิสาหกิจชุมชนยอมรับและใช้งานเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ควรให้ความสำคัญทั้งด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มที่มีประสิทธิภาพและการสนับสนุนทางเทคนิคเพื่อให้เกิดการใช้งานที่ยั่งยืน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/289834
ผลกระทบของการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีต่อมูลค่าองค์กรและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี SETESG
2025-06-24T21:05:54+07:00
วรนุช กุอุทา
woranuch.k@ubru.ac.th
กฤตยกมล ธานิสพงศ์
krittayakamon.t@ubru.ac.th
หทัยรัตน์ ไชยสัตย์
hathairat.k@ubru.ac.th
สุกฤษฏิ์ ลาพรมมา
Std.66124410302@ubru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่มีต่อมูลค่าองค์กรและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี SETESG กลุ่มตัวอย่างคือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กลุ่มดัชนี SETESG ยกเว้นบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมการเงินและบริษัทที่มีข้อมูลไม่ครบถ้วน จำนวน 88 บริษัท เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2566 จำนวนทั้งหมด 440 firm-Year จากแบบรายงานข้อมูลประจำปี 56-1 one report ตัวแปรอิสระ คือ การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่วัดจาก 1) รายชื่อบริษัทที่อยู่ในเกณฑ์ ESG 100 2) รายชื่อที่อยู่ในดัชนีดาวโจนส์ ตัวแปรตามคือ มูลค่าองค์กรที่วัดด้วย Tobin’s Q และผลการดำเนินงานที่วัดจาก 1) อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม 2) อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงซ้อน</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่วัดจากรายชื่อบริษัทที่อยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI) มีผลกระทบต่อมูลค่าองค์กร (Tobin’s Q) ในทิศทางเดียวกัน กล่าวได้ว่า การได้รับการจัดอันดับในดัชนี DJSI สะท้อนถึงความโปร่งใส และการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดและนักลงทุนส่งผลให้มูลค่าองค์กรสูงขึ้น ในขณะเดียวกัน การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมที่วัดจากรายชื่อบริษัทที่อยู่ในเกณฑ์ ESG100 มีผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวม (ROA) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ในทิศทางเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า บริษัทที่ได้รับการจัดอันดับใน ESG100 จึงมักมีผลตอบแทนจากสินทรัพย์และส่วนของผู้ถือหุ้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย สะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/289836
แนวทางการบริหารจัดการกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มะม่วงโชคอนันต์ อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย
2025-06-23T16:55:11+07:00
มนตรี ธรรมพัฒนากูล
montri_tam@rmutl.ac.th
กาญจนา ทวินันท์
Kanjata81@gmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทรัพยากรการบริหารจัดการของกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มะม่วงโชคอนันต์ 2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มะม่วงโชคอนันต์ และ 3) เสนอแนวทางการบริหารจัดการกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มะม่วงโชคอนันต์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี โดยการวิจัยเชิงปริมาณเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากสมาชิกกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มะม่วงโชคอนันต์จำนวน 65 คน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกจากคณะกรรมการบริหารกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มะม่วงโชคอนันต์ จำนวน 6 คน สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) ทรัพยากรการบริหารจัดการกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่มะม่วงโชคอนันต์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดคือ ด้านคน ด้านการตลาด ด้านเครื่องจักร ด้านวิธีการและด้านที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากคือ ด้านการเงินและด้านวัตถุดิบ 2) ปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการกลุ่มคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยธรรมชาติซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิต 3) แนวทางการบริหารจัดการกลุ่มประกอบด้วย การยกระดับความเข้มแข็งและศักยภาพในการบริหารจัดการกลุ่มในการเป็นเกษตรกรต้นแบบ การพัฒนาเพิ่มศักยภาพโดยการนำเทคโนโลยีหรือเทคนิควิธีการใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้การเสริมสร้างความรู้ให้กลุ่มเกษตรกรในการปรับตัวสู่วิถีการเกษตรสมัยใหม่ การส่งเสริมการนำองค์ความรู้จากปราชญ์เกษตรในชุมชนมาบูรณาการและประยุกต์ใช้ การบริหารจัดการน้ำและพื้นที่ปลูกเพื่อรับมือกับสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/290135
กลยุทธ์การจัดการโลจิสติกส์การตลาดออนไลน์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์หนอนแมลงวันลายในจังหวัดสุรินทร์
2025-06-24T21:14:18+07:00
กฤตกนก พาบุ
kritkanok@srru.ac.th
สายฝน ทดทะศรี
tsaiphon@gmail.com
กิตติศักดิ์ ร่วมพัฒนา
rittisak@gmail.com
วรพรภัฏ ปัดภัย
pworrapornpat@gmail.com
วิชชุดา ยินดี
ywitchuda@gmail.com
กนกกาญจน์ รีบเร่งรัมย์
rkanokkarn@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์สภาพแวดล้อมโลจิสติกส์การตลาดออนไลน์อาหารสัตว์แมลงวันลายในจังหวัดสุรินทร์ และ 2) ศึกษากลยุทธ์การจัดการโลจิสติกส์การตลาดออนไลน์เพื่อการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์หนอนแมลงวันลายในจังหวัดสุรินทร์ อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ทางเลือกมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาระบบเกษตรยั่งยืนและเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จาก หนอนแมลงวันลาย ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงและสามารถใช้ประโยชน์จากของเสียอินทรีย์ ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 105 คน และสัมภาษณ์ผู้ผลิตและ ผู้จำหน่ายอาหารสัตว์หนอนแมลงวันลายจำนวน 8 คน รวมถึงการสัมมนากลุ่มผู้ผลิตและผู้จำหน่าย จำนวน 28 คน วิเคราะห์ผลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) ตีความและสรุปข้อมูลแบบอุปนัย (Inductive Analysis) เพื่อสร้างความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม และกลยุทธ์การจัดการโลจิสติกส์การตลาดออนไลน์</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม พบว่า จุดแข็งที่สำคัญคือ การมีวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และความพร้อมด้านวัตถุดิบและศักยภาพในการจัดจำหน่ายภายในประเทศ ขณะที่จุดอ่อนที่พบคือปัญหาต้นทุนการผลิตและบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ทันสมัย ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดออนไลน์ โอกาสสำคัญคือการได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่าง ๆ และการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนากระบวนการผลิต ขณะที่อุปสรรคสำคัญคือ สภาพอากาศแปรปรวนและการแข่งขันจากคู่แข่งที่มีราคาถูกกว่า กลยุทธ์การจัดการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ =3.99) กลยุทธ์ที่มีความสำคัญสูงสุดคือ ด้านการขนส่ง (x̄ = 4.20) ตามด้วยการดำเนินการสั่งซื้อ (x̄ = 4.13) และน้อยที่สุดคือ การบริการลูกค้า (x̄ =3.71) ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นว่า การใช้กลยุทธ์ด้านการขนส่งที่เหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดออนไลน์ได้ดี โดยการพัฒนาการบริการลูกค้าและการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดการสินค้าคงคลังจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน จากผลการวิจัยนี้สามารถสรุปได้ว่า การพัฒนากลยุทธ์การจัดการโลจิสติกส์การตลาดออนไลน์สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์หนอนแมลงวันลายในจังหวัดสุรินทร์จะต้องเน้นการสร้างความแข็งแกร่งในด้านการขนส่ง การพัฒนาระบบการสั่งซื้อออนไลน์ที่สะดวกและรวดเร็ว รวมถึงการปรับปรุงการบริการลูกค้าด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดออนไลน์ต่อไป</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/290162
การพัฒนาสื่อดิจิทัลบนเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว โดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์ กรณีศึกษา กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อการท่องเที่ยว บ้านนาเวียงใหญ่ ตำบลศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย
2025-06-23T17:00:38+07:00
จารุพร มีทรัพย์ทอง
Jaruporn.mee@lru.ac.th
วิลัยพร ยาขามป้อม
Vilaiporn.yak@lru.ac.th
อัญชลี โกกะนุช
kanchalee@gmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างต้นแบบสื่อดิจิทัลบนเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวบ้านนาเวียงใหญ่ และ 2) เพื่อทดลองและประเมินผลการเผยแพร่สื่อดิจิทัลบนเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวบ้านนาเวียงใหญ่ ด้วยการวิจัยเชิงคุณภาพ เครื่องมือใช้ในการวิจัยใช้ การสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การสนทนากลุ่ม การประชุมปฏิบัติการ และใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา กลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญในการวิจัย คือ ผู้ก่อตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผู้ประสานงาน และผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อการท่องเที่ยวบ้านนาเวียงใหญ่ จำนวน 7 คน นักเรียนในพื้นที่ที่มีประสบการณ์ในการตัดต่อทำคลิปวีดิทัศน์ มีความรู้ในการเขียนสคริปต์ (script) และมีผู้ติดตามในสื่อสังคมออนไลน์ จำนวน 5 คน นักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมงานเทศกาลผีตาโขน จำนวน 10 คน ผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนในพื้นที่ที่มีประสบการณ์ด้านการจัดการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 5 ปี จำนวน 2 คน ผู้ทรงคุณวุฒิและเชี่ยวชาญด้านการจัดการการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนเชิงสร้างสรรค์ จำนวน 2 คน โดยการคัดเลือกแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า ผลการออกแบบและพัฒนาสื่อดิจิทัลบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท เฟซบุ๊ก ติ๊กต๊อก และยูทูป โดยเน้นการเล่าเรื่องและเชื่อมโยงวัฒนธรรม ศิลปะ วิถีชีวิต ประเพณี ความเชื่อ และพิธีกรรม ด้วยภาพถ่ายบันทึกวีดิทัศน์ในเหตุการณ์จริงร่วมงานเทศกาลผีตาโขน ที่มีลวดลายและสีสัน จากการเผยแพร่คลิปวีดิทัศน์จำนวน 3 คลิป ผ่านเฟซบุ๊ก ติ๊กต๊อก และจำนวน 3 คลิปผ่านยูทูป พบว่ามีการเข้าถึงผู้คนเพิ่มขึ้นและมีการมีส่วนร่วมโดยการกดแสดงความรู้สึกที่มีต่อคลิปวีดิทัศน์ การพิมพ์แสดงความคิดเห็นว่าอยากไปเที่ยวร่วมงานเทศกาลผีตาโขน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/290172
ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะที่ต้องการกับปัจจัยสนับสนุนในการพัฒนาบุคลากรภาครัฐ ในองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งหนึ่งในเขตภาคกลาง
2025-06-04T20:49:17+07:00
ชวลิต ศุภศักดิ์ธำรง
Chavalits@lawasri.tru.ac.th
ศศิธร วชิรปัญญาพงศ์
sasitorn.w@lawasri.tru.ac.th
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสมรรถนะที่ต้องการพัฒนาตนเองของบุคลากรภาครัฐ จำแนกตามลักษณะบุคคล ประเภทข้าราชการและมิใช่ข้าราชการ และ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะที่ต้องการพัฒนาตนเองของบุคลากรภาครัฐ กับปัจจัยสนับสนุนการพัฒนาตนเองของบุคลากรภาครัฐ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือบุคลากรภาครัฐ ในองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งหนึ่งในเขตภาคกลาง ที่ยินดีและให้ความร่วมมือแสดงความคิดเห็น จำนวน 217 คน ใช้วิธีการเลือกตัวอย่างโดยบังเอิญ (Accidental sampling) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการใช้แบบสอบถามกับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ สถิติเชิงพรรณนา ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ สถิติเชิงอ้างอิง ในการทดสอบสมมติฐานโดยใช้การวิเคราะห์ทางสถิติแบบ Independent Samples t-test และวิเคราะห์ความสัมพันธ์โดยใช้ค่าสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ (Correlation coefficient)</p> <p>ผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์การวิจัย พบว่า สมรรถนะที่ต้องการพัฒนาตนเองของบุคลากรภาครัฐ ใน 2 ด้าน ดังนี้ 1) สมรรถนะหลักด้านความรู้ตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล พบว่า หลักสูตรที่ต้องการพัฒนา ค่าเฉลี่ย 3 ลำดับแรก คือ หลักสูตรเทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล หลักสูตรกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสำหรับผู้ปฏิบัติงานภาครัฐ และ หลักสูตรความมั่นคงปลอดภัยทางดิจิทัลสำหรับผู้บริหาร/ผู้ปฏิบัติงานภาครัฐ 2) สมรรถนะเฉพาะงานด้านความรู้ในงานประจำตามตำแหน่งงาน พบว่า หลักสูตรที่ต้องการพัฒนา ค่าเฉลี่ย 3 ลำดับแรก คือ หลักสูตรพัฒนาทักษะส่วนบุคคล หลักสูตรด้านความรู้และทักษะที่จำเป็นในสายงาน และ หลักสูตรส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ส่วนปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลากร ค่าเฉลี่ย 3 ลำดับแรก คือ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก ด้านสุขภาพและพลานามัย และ ด้านสภาพแวดล้อมโดยรวม ในการทำงานขององค์กร</p> <p>จากการทดสอบสมมุติฐานด้านการเปรียบเทียบสมรรถนะที่ต้องการพัฒนาตนเองของบุคลากรภาครัฐ ของบุคลากรประเภทข้าราชการและไม่ใช่ข้าราชการ พบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน <em>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</em> .05 (t = 0.092, p = .0937) <strong>และ</strong>สมรรถนะที่ต้องการพัฒนาตนเองของบุคลากรภาครัฐ มีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับปานกลาง <strong>กับ</strong>การทดสอบสมมุติฐานด้าน<strong>ปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลากร</strong> มีค่าสหสัมพันธ์ <strong>ρ</strong><strong> = 0.571</strong> <em>อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</em> .01 แสดงให้เห็นว่า เมื่อบุคลากรได้รับการสนับสนุนด้านการเรียนรู้มากขึ้น ความต้องการในการพัฒนาตนเองก็จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/msaru/article/view/290249
แนวทางการลดความผิดพลาดในกระบวนการตัดบัญชีวัตถุดิบภายใต้มาตรการส่งเสริมการลงทุน กรณีศึกษา โรงงานอุตสาหกรรมการผลิตแห่งหนึ่ง จังหวัดชลบุรี
2025-07-04T16:46:23+07:00
โสมนภา พิมพ์ศร
somnapha.p@gmail.com
ไพโรจน์ เร้าธนชลกุล
pairoj@go.buu.ac.th
มัธยะ ยุวมิตร
matthaya@buu.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางการพัฒนาในการลดความผิดพลาดจากการตัดบัญชีวัตถุดิบภายใต้การส่งเสริมของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) โดยใช้กรณีศึกษา โรงงานอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์รถบ้านแห่งหนึ่ง จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการส่งเสริมการลงทุน การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์เกี่ยวกับกระบวนการทำงานตั้งแต่กระบวนการสั่งซื้อวัตถุดิบที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก The Board of Investment (BOI) นำเข้าวัตถุดิบ ผลิตสินค้า ไปจนถึงกระบวนการส่งออก และตัดบัญชี การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการพิจารณาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการตัดบัญชี เช่น ใบขนสินค้าขาออก รายงาน Report-V และข้อมูลความผิดพลาดจากการตัดบัญชีวัตถุดิบบนระบบ Raw Material Tracking System เพื่อนำมาวิเคราะห์และหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงลึก พบว่า กระบวนการทำงานมีความซ้ำซ้อนและมีกระบวนการที่ไม่เกิดมูลค่าในกิจกรรม โดยได้นำหลักการลีนและเครื่องมือวิเคราะห์กระบวนการ เช่น ECRS มาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อแยกแยะกิจกรรมที่สร้างมูลค่า (VA) กิจกรรมที่ไม่สร้างมูลค่า (NVA) และกิจกรรมที่ไม่สร้างมูลค่าแต่จำเป็นต้องมีในระบบ (NNVA) จึงได้มีการปรับปรุงกระบวนการโดยลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็น และปรับเปลี่ยนลำดับขั้นตอนการทำงาน หลังการปรับปรุง พบว่าการระบุสิทธิประโยชน์ BOI ในใบคำสั่งซื้อโดยตรง ส่งผลให้ระยะเวลาดำเนินการลดลงจาก 120 นาที เหลือ 50 นาที ลดลงร้อยละ 58.33 ทำให้เวลารวมของกิจกรรมที่ไม่สร้างมูลค่าลดลง และกิจกรรมที่จำเป็นในระบบสามารถดำเนินการได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p>
2025-08-31T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิทยาการจัดการปริทัศน์