วารสารการวัด ประเมินผล สถิติ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr
<p>วารสารการวัด ประเมินผล สถิติ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์</p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">ISSN Old Number</span></strong><br /><strong>ISSN :</strong> 2730-2466 (online )<br /><br /><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">ISSN New Number</span></strong><br /><strong>ISSN :</strong> 3088-1951 (online )</p>
สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
th-TH
วารสารการวัด ประเมินผล สถิติ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์
3088-1951
<p>ข้อความและบทความในวารสารการวัด ประเมินผล สถิติ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์ เป็นแนวคิดของผู้เขียน มิใช่ความคิดเห็นของกองบรรณาธิการวารสาร จึงมิใช่ความรับผิดชอบของวารสารการวัด ประเมินผล สถิติ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์ บทความในวารสารต้องไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน และสงวนสิทธิ์ตามกฎหมายไทย การจะนำไปเผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากกองบรรณาธิการ</p>
-
การพยากรณ์ทางธุรกิจ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/296378
สฤษฏ์เทพ สุขแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
6 2
127
131
-
การประเมินผลกระทบของนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต่อความพร้อมของ ทรัพยากรทางการศึกษาและสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนานวัตกรของสถานศึกษา ด้วยเทคนิคโพรเพนสิตี้สกอร์
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/282782
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพร้อมของทรัพยากรทางการศึกษาและสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนานวัตกรของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา และ 2) ประเมินผลกระทบของนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาต่อความพร้อมของทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษาและสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูเพื่อพัฒนานวัตกรของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาด้วยเทคนิคโพรเพนสิตี้สกอร์ กลุ่มตัวอย่างคือ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่เข้าร่วมและสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่ไม่เข้าร่วมเป็นสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จังหวัดศรีสะเกษ ระยอง สตูล เชียงใหม่ กาญจนบุรี ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กลุ่มละ 230 แห่ง ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามความพร้อมของทรัพยากรทางการศึกษาของสถานศึกษา 26 ข้อ และสมรรถนะการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนานวัตกรของสถานศึกษา 37 ข้อ ลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ มีความตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.60-1.00 มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .92 และ .95 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้เทคนิคโพรเพนซิตี้สกอร์ ผลการวิจัยพบว่า1) สถานศึกษานำร่องและไม่ใช่นำร่องส่วนใหญ่มีความพร้อมด้านทรัพยากรทางการศึกษาและความสามารถของครูในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนานวัตกรของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับใกล้เคียงกัน และ 2) เมื่อควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนโดยปรับแก้ด้วยคะแนนโพรเพนสิตี้แล้วพบว่า นโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความพร้อมของทรัพยากรทางการศึกษา และสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครูเพื่อพัฒนานวัตกรของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในพื้นที่เหล่านี้</p>
ภควดี เกิดบัณฑิต
นลินี ณ นคร
สังวรณ์ งัดกระโทก
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
6 2
1
19
-
การวิเคราะห์การจัดกลุ่มเพื่อการจัดการมูลฝอยติดเชื้อที่เหมาะสมโดยใช้เทคนิคเหมืองข้อมูล
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/283619
<p>การจัดการมูลฝอยติดเชื้อเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขอนามัย และต้นทุนการดำเนินงาน โดยเฉพาะในช่วงการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ปริมาณมูลฝอยติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การวิจัยเชิงวิเคราะห์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาคุณลักษณะ (Attribute) ของลูกค้าที่ใช้บริการจัดเก็บมูลฝอยติดเชื้อ และ 2) วิเคราะห์การจัดกลุ่มข้อมูลลูกค้าด้วยวิธีการ K-Means Algorithms โดยใช้ข้อมูลลูกค้า 540 ราย ประกอบด้วยสถานพยาบาลขนาดใหญ่ 37 แห่ง และสถานพยาบาลขนาดเล็ก 503 แห่ง ของบริษัท นิวโชคอำนวย เชียงใหม่ จำกัด การวิเคราะห์ใช้โปรแกรม Orange Data Mining พิจารณาจากตัวแปรปริมาณมูลฝอยติดเชื้อ (0.5-12 กก./เดือน) ระยะทาง (0.3-15 กม.) และความถี่ในการจัดเก็บ ผลการวิจัยพบว่าสามารถจัดกลุ่มลูกค้าได้ 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มที่มีปริมาณมูลฝอยติดเชื้อต่ำ (85.66%) โดยมีปริมาณเฉลี่ย 1.2 กก./เดือน ระยะทางใกล้เฉลี่ย 1.8 กม. และความถี่การจัดเก็บปานกลาง 2) กลุ่มที่มีปริมาณมูลฝอยติดเชื้อสูง (11.43%) โดยมีปริมาณเฉลี่ย 8.5 กก./เดือน ระยะทางปานกลางเฉลี่ย 4.2 กม. และความถี่การจัดเก็บต่ำ และ 3) กลุ่มที่มีปริมาณมูลฝอยติดเชื้อปานกลาง (2.91%) โดยมีปริมาณเฉลี่ย 3.7 กก./เดือน ระยะทางไกลเฉลี่ย 8.5 กม. และความถี่การจัดเก็บสูง ผลการจัดกลุ่มมีความแม่นยำสูงด้วยค่า Silhouette Score 0.873 การเปรียบเทียบประสิทธิภาพก่อนและหลังการปรับปรุง พบการพัฒนาใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ การจัดการเวลา การใช้ความจุรถ ความถี่การจัดเก็บ และการจัดการพื้นที่ ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนเส้นทางการจัดเก็บที่เหมาะสม การออกแบบแพ็กเกจบริการเฉพาะกลุ่ม และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากร เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานและยกระดับคุณภาพการให้บริการ อย่างไรก็ตาม การศึกษาในอนาคตควรพิจารณาปัจจัยเพิ่มเติม เช่น ประเภทของมูลฝอยติดเชื้อ และการวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับระบบ GIS เพื่อการพัฒนาที่ครอบคลุมและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น</p>
รัชพล กิตติคุณ
จุฑามาศ จินตนา
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
6 2
20
36
-
รูปแบบการจัดการธุรกิจยิมมวยไทยเพื่อดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/283840
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพการดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาปัจจัยการจัดการธุรกิจยิมมวยไทยเพื่อดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร 3) เพื่อศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการจัดการธุรกิจยิมมวยไทยเพื่อดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร 4) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการธุรกิจยิมมวยไทยเพื่อดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร โดยใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือผู้เรียนมวยไทยในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าดัชนีความสอดคล้องที่ 0.60-1.00 มีค่าความเชื่อมั่นด้านสภาพการดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพและด้านปัจจัยการจัดการธุรกิจยิมมวยไทยเพื่อดูแลสุขภาพ เท่ากับ 0.94 และ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสํารวจการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน และการวิเคราะห์เส้นทาง ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร ของกลุ่มตัวอย่าง โดยภาพรวมอยู่ในระดับปฏิบัตินาน ๆ ครั้ง มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ (<em>M=</em><em>3.00, SD=1.78</em>) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ พบว่า พฤติกรรมด้านการพักผ่อนและจัดการอารมณ์มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ (<em>M=3.94, SD=1.06</em>) รองลงมาพฤติกรรมด้านโภชนาการ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ (<em>M=3.87, SD=0.97</em>) และพฤติกรรมด้านการสูบบุหรี่และสารเสพติด มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดเท่ากับ (<em>M=1.54, SD=1.13</em>) 2) ปัจจัยการจัดการธุรกิจยิมมวยไทยเพื่อดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ (<em>M=</em><em>4.18, SD=0.84</em>) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าปัจจัยด้านการดูแลเอาใจใส่ ปัจจัยด้านคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับ ปัจจัยด้านคุณภาพการให้บริการ และปัจจัยด้านความพึงพอใจ มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ (<em>M=</em><em>4.35, SD=0.73</em>) รองลงมาปัจจัยด้านการสร้างความภูมิใจมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ (M=4.30, SD=0.73) และปัจจัยด้านองค์ความรู้มวยไทย มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดเท่ากับ (<em>M=3.11, SD=0.95</em>) 3) ปัจจัยเชิงสาเหตุที่มีอิทธิพลต่อการจัดการธุรกิจยิมมวยไทยเพื่อดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า ตัวแปรที่มีอิทธิพลทางตรง (direct effect) ที่ส่งผลต่อการดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร ได้แก่ กระบวนการจัดการ และความต้องการของลูกค้าแต่นอกจากนี้ยังมีตัวแปรที่ส่งผลทางอ้อม หรือ (indirect effect) ประกอบด้วย ผู้บริหารและบุคลากร หลักสูตรและองค์ความรู้ สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ และความปลอดภัย และความต้องการของลูกค้า ที่สามารถร่วมกันอธิบายอิทธิพลต่อการจัดการธุรกิจยิมมวยไทยเพื่อดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร 4) รูปแบบการจัดการธุรกิจยิมมวยไทยเพื่อดูแลสุขภาพของกลุ่มคนรักสุขภาพในเขตกรุงเทพมหานคร (4P1C+ Model) ประกอบด้วย 1) ผู้บริหารและบุคลากร 2) กระบวนการจัดการ3) หลักสูตรและองค์ความรู้ 4) สถานที่ วัสดุอุปกรณ์และความปลอดภัย 5) ความต้องการของลูกค้า 6) การเงิน/งบประมาณ 7) การบริการจัดการความเสี่ยง โดยผู้วิจัยได้นำเอารูปแบบดังกล่าวมาพัฒนากับรูปแบบธุรกิจมาตรฐานตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณจากการดำเนินการสนทนากลุ่มย่อยและยืนยันมาตรฐานรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ</p>
บารมี ชูชัย
ชาญชัย ยมดิษฐ์
วรเดช ช้างแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
6 2
37
52
-
การศึกษาความสามารถในการประเมินตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การวัดประเมินเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/284551
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถในการประเมินตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การวัดประเมินเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดราชบพิธ ปีการศึกษา 2567 จำนวน 72 คน ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบสองขั้นตอน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม กลุ่มละ 36 คน คือ 1) กลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้การวัดประเมินเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบการประเมินตนเอง และ 2) กลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การวัดประเมินเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบการประเมินตนเองร่วมกับการประเมินเพื่อน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้การวัดประเมินเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบการประเมินตนเอง และในรูปแบบการประเมินตนเองร่วมกับการประเมินเพื่อน 2) แบบวัดความสามารถในการประเมินตนเอง และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Hotelling’s T<sup>2</sup> และการวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณแบบทางเดียว ผลจากการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การวัดประเมินเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบการประเมินตนเอง และกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การวัดประเมินเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบการประเมินตนเองร่วมกับการประเมินเพื่อน มีความสามารถในการประเมินตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) กลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การวัดประเมินเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบการประเมินตนเองและกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้การวัดประเมินเป็นการเรียนรู้ในรูปแบบการประเมินตนเองร่วมกับการประเมินเพื่อนมีความสามารถในการประเมินตนเองและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
อรณี อิ่มพิทักษ์
พนิดา ศกุนตนาค
มนตา ตุลย์เมธาการ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
6 2
53
76
-
อิทธิพลของพฤติกรรมการรับประทานอาหาร พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่ม และพฤติกรรมการออกกำลังกาย ที่มีต่อกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน ของนักเรียนหญิงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในกรุงเทพมหานคร
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/285683
<p>กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนเป็นปัญหาต่อสุขภาพและการเรียนรู้ของนักเรียนหญิงในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย การศึกษาปัจจัยที่มีต่อกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนอาจนำไปสู่การแก้ไขปัญหานี้อย่างเหมาะสม การวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) บรรยายกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน พฤติกรรมการรับประทานอาหาร พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่ม และพฤติกรรมการออกกำลังกาย 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่ม และพฤติกรรมการออกกำลังกาย กับกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน 3) เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่ม และพฤติกรรมการออกกำลังกายที่ส่งผลต่อกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนของนักเรียน ตัวอย่างวิจัยคือนักเรียนหญิงที่กำลังศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 119 คน เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แบบวัดกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน พฤติกรรมการออกกำลังกายและพฤติกรรมการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มและตรวจสอบความเที่ยงโดยใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคซึ่งมีค่าตั้งแต่ .580 ถึง .800 และมีความตรงเชิงโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติบรรยาย สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนของนักเรียนหญิงอยู่ในระดับปานกลาง (<em>M</em> = 3.05, <em>SD</em> = 0.86) พฤติกรรมการบริโภคอาหาร (<em>M </em>= 2.97, <em>SD</em> = 0.94) และพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่ม (<em>M</em> = 2.84, <em>SD</em> = 0.97) อยู่ในระดับปานกลาง พฤติกรรมการออกกำลังกาย อยู่ในระดับต่ำ (<em>M </em>= 22.51, <em>SD</em> = 29.40) 2) พฤติกรรมการบริโภคอาหารและพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มมีความสัมพันธ์ทางบวกอย่างมีนัยสำคัญกับกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน ในขณะที่พฤติกรรมการออกกกำลังกายมีความสัมพันธ์ทางลบอย่างไม่มีนัยสำคัญกับกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน 3) พฤติกรรมการบริโภคอาหาร และพฤติกรรมการดื่มเครื่องดื่มมีอิทธิพลทางบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่พฤติกรรมการออกกำลังกายอิทธิพลทางบวกอย่างไม่มีนัยสำคัญ</p>
กาญจณิชา รำเพยพงศ์
รพิรัตน์ สู่ไพบูลย์
อริยาทิต นวชิต
ชยวัฏ ศิริพันธศักดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
6 2
77
94
-
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการตำหนิตนเองด้านการเรียนกับภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/286699
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินระดับการตำหนิตนเองด้านการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 2) ประเมินภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการตำหนิตนเองด้านการเรียนและภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 4) ศึกษาความสามารถในการพยากรณ์ของการตำหนิตนเองด้านการเรียนที่มีต่อภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี โดยเป็นวิจัยเชิงสำรวจ ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษา 2567 กำลังศึกษาในมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ จำนวน 3 กลุ่มสาขาวิชา คือ กลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ และกลุ่มสาขาวิชามนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ โดยใช้การสุ่มแบบโควต้า จำนวน 406 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ แบบวัดการตำหนิตนเองด้านการเรียน มีลักษณะเป็นแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (ตั้งแต่ 1 = น้อยที่สุด ถึง 5 = มากที่สุด) จำนวน 12 ข้อ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .903 และแบบวัดภาวะหมดไฟในการเรียนในนักศึกษามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแบบประมาณค่า 5 ระดับ (ตั้งแต่ 0 = ไม่เคย ถึง 4 = ตลอดเวลา) จำนวน 26 ข้อ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ .918 จากนั้นนำผลมาวิเคราะห์โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ความถี่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ได้แก่ การวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษา พบว่า การตำหนิตนเองด้านการเรียนมีความสัมพันธ์ทางบวกกับภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .616 นอกจากนี้ พบว่า องค์ประกอบของการตำหนิตนเองด้านการเรียน ประกอบด้วย การตำหนิพฤติกรรมตนเอง และการตำหนิคุณลักษณะเฉพาะของตนเอง สามารถร่วมกันพยากรณ์ภาวะหมดไฟในการเรียน ร้อยละ 42 โดยมีเพียงการตำหนิคุณลักษณะเฉพาะของตนเองเพียงองค์ประกอบเดียวที่สามารถพยากรณ์ภาวะหมดไฟในการเรียนของนักศึกษาได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (β= .612)</p>
ธันย์ชนก เขียวศรี
สุรเดช ประยูรศักดิ์
พงศ์ศิระ คงแถวทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
6 2
95
110
-
ตำรับยาหอมไทยในการรักษาโรคทางระบบประสาท ระบบหลอดเลือดและหัวใจ ระบบทางเดินอาหาร: การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/288400
<p>ยาหอมเป็นยาที่ใช้คู่กับคนไทยมานานมากกว่า 100 ปี นำมาใช้ในการดูแลสุขภาพหรือรักษาโรค เพื่อปรับร่างกายให้เกิดความสมดุลของธาตุให้เลือดลมไหลเวียนดี กอปรกับมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันสรรพคุณและประโยชน์ของยาหอมในด้านระบบไหลเวียนโลหิต ระบบประสาทส่วนกลาง และระบบทางเดินอาหาร วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของตำรับยาหอมไทยในการรักษาโรคทางระบบประสาท ระบบหลอดเลือดและหัวใจ และระบบทางเดินอาหาร วิธีการศึกษาแบบทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ โดยศึกษายาหอมจำนวน 5 ตำรับ ประกอบด้วย ยาหอมนวโกฐ ยาหอมอินทจักร์ ยาหอมเทพจิตร ยาหอมทิพโอสถ และยาหอมแก้ลมวิงเวียน ที่มีการเผยแพร่ตีพิมพ์ตั้งแต่ปี 2550-2568 ผลการศึกษาพบว่าตำรับยาหอมที่มีการทำวิจัย และตีพิมพ์มากที่สุดคือ ตำรับยาหอมนวโกฐ รองลงมาเป็นยาหอมอินทจักร์ ยาหอมเทพจิตร ยาหอมทิพโอสถและยาหอมแก้ลมวิงเวียนตามลำดับ ยาหอมทั้ง 5 ชนิดมีผลต่อการรักษาโรคระบบหลอดเลือดและหัวใจ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปที่สมองและหัวใจ ยาหอมนวโกฐและยาหอมเทพจิตรให้ผลดีต่อการรักษาระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยในกลุ่มนอนไม่หลับ ยาหอมเทพจิตรใช้เพื่อรักษาโรคซึมเศร้า ยาหอมทิพโอสถ มีฤทธิ์ต้านเอนไซม์อะซิติลโคลีนเอสเตอเรส เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ และยาหอม นวโกฐ ยาหอมอินทจักร์ ยาหอมทิพโอสถ มีผลในการรักษาโรคระบบทางเดินอาหาร ช่วยลดอาการปวดเกร็งของลำไส้ คลื่นไส้อาเจียนและช่วยให้เจริญอาหาร จากผลการวิจัยพบว่าตำรับยาหอมไทยมีแนวโน้มใช้เป็นทางเลือกในการรักษาโรคเรื้อรังหลายระบบของร่างกาย แต่ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในด้านความเหมาะสมในการใช้เฉพาะโรคหรืออาการ และตามกลุ่มวัย</p>
พวงผกา ตันกิจจานนท์
อดิศักดิ์ สุมาลี
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
6 2
111
126