https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/issue/feed วารสารการวัด ประเมินผล สถิติ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์ 2025-06-16T19:07:59+07:00 Dr.Supamas Chumkaew mesr.editor@hotmail.com Open Journal Systems <p>วารสารการวัด ประเมินผล สถิติ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์</p> <p><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">ISSN Old Number</span></strong><br /><strong>ISSN :</strong> 2730-2466 (online )<br /><br /><strong><span class="Y2IQFc" lang="en">ISSN New Number</span></strong><br /><strong>ISSN :</strong> 3088-1951 (online )</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/290591 A Little Book of Big Data and Machine Learning 2025-06-16T19:07:59+07:00 รัชกฤช ธนพัฒนดล Ratchakrit.Tan@stou.ac.th 2025-06-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/278426 การตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการสร้างสมรรถนะของครูในการประเมินทักษะปฏิบัติดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่าของนักเรียนประถมศึกษา 2024-07-02T11:58:19+07:00 จุฑาทิพย์ เงินบำรุง jutathip210@gmail.com ณภัทร ชัยมงคล nhabhat.c@chula.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการสร้างสมรรถนะของครูในการประเมินทักษะปฏิบัติดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่าของนักเรียนประถมศึกษา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเครื่องมือวัดและประเมินผลทางการศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะดนตรีไทยในสอนและประเมินการปฏิบัติดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่า จำนวน 5 ท่าน เครื่องมือวิจัย คือ 1) แบบประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการสร้างสมรรถนะของครูในการประเมินทักษะดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่าของนักเรียนประถมศึกษา 2) แบบประเมินความเหมาะสมของคู่มือการใช้งานรูปแบบการสร้างสมรรถนะของครูในการประเมินทักษะดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่าของนักเรียนประถมศึกษา ผลการวิจัยพบว่า 1) รูปแบบการสร้างสมรรถนะของครูในการประเมินทักษะปฏิบัติดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่าของนักเรียนประถมศึกษา ในด้านความมีประโยชน์ ด้านความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้อง โดยรวมมีคุณภาพ อยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em>= 4.61, <em>SD</em>=0.51) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ส่วนใหญ่มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านความเหมาะสม (propriety) และด้านความถูกต้อง (accuracy) มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด (<em>M</em>= 4.67, <em>SD</em>=0.48) ด้านความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ (feasibility) มีค่าเฉลี่ยรองลงมา (<em>M</em>= 4.57, <em>SD</em>=0.50) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านความมีประโยชน์ (utility) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.57 (<em>M</em>= 4.53, <em>SD</em>=0.57) และ 2) คู่มือการใช้งานรูปแบบการสร้างสมรรถนะของครูในการประเมินทักษะปฏิบัติดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่าของนักเรียนประถมศึกษา โดยรวมมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em>= 4.67, <em>SD</em>=0.50) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ในด้านการนำไปใช้ประโยชน์ มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด (<em>M</em>= 4.84, <em>SD</em>=0.37) ด้านรูปเล่ม มีค่าเฉลี่ยรองลงมา (<em>M</em>= 4.60, <em>SD</em>=0.58) ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด คือ ด้านเนื้อหา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.51 (<em>M</em>= 4.56, <em>SD</em>=0.51) ดังนั้น ผลการตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการสร้างสมรรถนะของครูในการประเมินทักษะปฏิบัติดนตรีไทยประเภทเครื่องเป่าของนักเรียนประถมศึกษา พบว่า มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2025-06-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/278399 อิทธิพลของกรอบความคิดเติบโตทางดิจิทัลต่อการฟื้นพลังทางดิจิทัลของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย: การรับรู้ความสามารถทางดิจิทัลของตนเองเป็นตัวแปรส่งผ่าน 2024-06-26T12:58:30+07:00 ชานนท์ พูลสุขเสริม chanon.pulsukserm@gmail.com สุรศักดิ์ เก้าเอี้ยน ieankung@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของกรอบความคิดเติบโตทางดิจิทัลที่มีต่อการฟื้นพลังทางดิจิทัลของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายโดยมีการรับรู้ความสามารถทางดิจิทัลของตนเองเป็นตัวแปรส่งผ่าน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 743 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นตามภูมิภาคและขนาดโรงเรียน การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถามออนไลน์ที่พัฒนาให้มีคุณสมบัติการวัดเชิงจิตมิติทางด้านความตรงและความเที่ยง ข้อคำถามในงานวิจัยนี้มีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาของข้อคำถาม (item-scale CVI: I-CVI) ตั้งแต่ 0.800 ถึง 1.000 และมีค่าดัชนีความตรงตามเนื้อหาของเครื่องมือ (scale-level CVI: S-CVI) เท่ากับ 0.833 ค่าสัมประสิทธิ์ Cronbach’s Alpha ของแต่ละตัวบ่งชี้มีค่าตั้งแต่ 0.707 ถึง 0.867 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างด้วยโปรแกรม R และ Mplus ผลการศึกษาพบว่า โมเดลสมการโครงสร้างสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ( <sup>2</sup>(41) = 142.958, <br /><em>p</em> &lt; .001, <em>RMSEA</em> = 0.058, <em>CFI</em> = 0.987, <em>TLI</em> = 0.978, <em>SRMR</em> = 0.020) โดยกรอบความคิดเติบโตทางดิจิทัลมีอิทธิพลทางตรงต่อการฟื้นพลังทางดิจิทัลและการรับรู้ความสามารถทางดิจิทัลของตนเองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( <sub>DGM-&gt;DRS </sub>= .612, <em>p</em> &lt; .001; <sub>DGM-&gt;DSE </sub>= .934, <em>p</em> &lt; .001) ในขณะที่<br />การรับรู้ความสามารถทางดิจิทัลของตนเองมีอิทธิพลทางตรงต่อการฟื้นพลังทางดิจิทัลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( <sub>DSE-&gt;DRS </sub>= .270, <em>p</em> &lt; .001) นอกจากนี้ยังพบว่ากรอบความคิดเติบโตทางดิจิทัลมีอิทธิพลทางอ้อมต่อการฟื้นพลังทางดิจิทัลผ่านการรับรู้ความสามารถของตนเองทางดิจิทัลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ( <sub>DGM-&gt;DSE-&gt;DRS </sub>= .271, <em>p</em> &lt; .001) โดยคิดเป็นอิทธิพลโดยรวมเท่ากับ .865 ข้อค้นพบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการส่งเสริมให้นักเรียนมีการฟื้นพลังทางดิจิทัลต้องเริ่มส่งเสริมจากการสร้างกรอบความคิดเติบโตทางดิจิทัล และการรับรู้ความสามารถของตนเองทางดิจิทัลให้เกิดขึ้นกับนักเรียน</p> 2025-06-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/278880 การพัฒนาวิธีการประเมินตนเองเพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติเครื่องเป่าไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา : การประยุกต์ใช้แนวคิดการประเมินเป็นการเรียนรู้ด้วยการสะท้อนคิดจากการบันทึกวิดีโอเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับ 2024-08-27T10:58:22+07:00 พิชชานันท์ มหันตกาสี pitchananmahantagasi@gmail.com ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง nuttaporn.l@chula.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาวิธีการประเมินตนเองเพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติเครื่องเป่าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาโดยการประยุกต์ใช้แนวคิดการประเมินเป็นการเรียนรู้ด้วยการสะท้อนคิดจากการบันทึกวิดีโอเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับ และ 2) ศึกษาผลการใช้วิธีการประเมินตนเองเพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติเครื่องเป่าของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาโดยการประยุกต์ใช้แนวคิดการประเมินเป็นการเรียนรู้ด้วยการสะท้อนคิดจากการบันทึกวิดีโอเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับ ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคิชฌกูฏวิทยา จังหวัดจันทบุรี จำนวน 40 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพและการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ (repeated measure ANOVA) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1) วิธีการประเมินตนเองโดยการประยุกต์ใช้แนวคิดการประเมินเป็นการเรียนรู้ด้วยการสะท้อนคิดจากการบันทึกวิดีโอเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับ คือ 1) การประเมินตนเองเพื่อตรวจสอบการเรียนรู้ของตนเองด้วยข้อคำถาม จำนวน 5 ข้อ 2) การประเมินตนเองจากการบันทึกวิดีโอด้วยเกณฑ์การให้คะแนน 3) การเขียนข้อความสะท้อนคิด และ 4) การบันทึกวิดีโอเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับ 2) ผลของการใช้วิธีการประเมินตนเองจากการเปรียบเทียบคะแนนพัฒนาการทักษะการปฏิบัติเครื่องเป่าของนักเรียนจากการประเมินด้วยเกณฑ์การให้คะแนนรูบริกครั้งที่ 1, 2 และ 3 แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การประเมินตนเองครั้งที่ 3 ระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2025-06-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/279740 การท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำของเกาะสีชังในมุมมองของภาครัฐ 2024-08-09T10:14:12+07:00 กัลยา สว่างคง kanlaya.swa@dpu.ac.th <p>การท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อน แต่หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการแหล่งท่องเที่ยวยังขาดประสบการณ์ในการจัดการการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ ดังนั้นบทความวิจัยเรื่องนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลและสภาพทั่วไปทางการท่องเที่ยวของเกาะสีชัง และ 2) ศึกษามุมมองของหน่วยงานภาครัฐที่มีต่อการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำของเกาะสีชัง งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลโดยการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์เชิงลึก และการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม โดยมีผู้ให้ข้อมูลหลักจำนวน 7 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาและรายงานผลการวิจัยด้วยการพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า 1) เกาะสีชังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางเข้าถึงได้อย่างสะดวก มีทรัพยากรการท่องเที่ยวทั้งทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และยังมีประเพณี วิถีชีวิต ที่น่าสนใจ ทำให้มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากทั้งช่วงวันธรรมดาและวันหยุด 2) หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีแนวคิดที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวของเกาะสีชังไปสู่รูปแบบการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ เพื่ออนุรักษ์สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้กับชุมชน รวมทั้งสร้างระบบการท่องเที่ยวให้เกิดความยั่งยืน โดยมีมุมมองว่าหน่วยงานภาครัฐควรเป็นผู้นำในการริเริ่มโครงการต่าง ๆ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับผู้ประกอบการและชุมชน รวมทั้งต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมด้วย</p> 2025-06-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/280088 การกำหนดค่ามาตรฐานแบบทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษด้วยวิธี Yes/No Angoff : การหาคะแนนจุดตัดและการวิเคราะห์ความถูกต้องของการกำหนดมาตรฐาน 2024-09-05T16:48:43+07:00 รชฏ นุเสน rachod_nus@cmru.ac.th จุติญาณี เพิ่มทันจิตต์ jutiyanee@cmru.ac.th ปิยะณัฐ จันต๊ะคาด piyanat_cha@g.cmru.ac.th ปิยะพันธ์ กันทิสา jay_avenue@hotmail.com ลลิดา วิบูลวัชร lalida_wib@cmru.ac.th <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) กำหนดคะแนนจุดตัดตามกรอบมาตรฐาน CEFR ระดับ A2 B1 และ B2 โดยวิธี Yes/No Angoff ให้กับแบบทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ได้รับการพัฒนาโดยคณาจารย์สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ และ 2) วิเคราะห์ความถูกต้องของการกำหนดมาตรฐานและคะแนนจุดตัดที่กำหนด ผู้ประเมินที่เข้าร่วมการกำหนดมาตรฐานครั้งนี้มีทั้งสิ้น 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษของหลักสูตร (คะแนนเต็มเท่ากับ 100 คะแนน) แบบทดสอบความเข้าใจในเกณฑ์มาตรฐาน CEFR แบบสำรวจความคิดเห็นของผู้ประเมินต่อการอบรมก่อนการกำหนดมาตรฐาน แบบประเมินข้อสอบโดยวิธี Yes/No Angoff และแบบสำรวจความคิดเห็น<br />ของผู้ประเมินต่อกิจกรรมการกำหนดมาตรฐาน ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) คะแนนจุดตัดตามกรอบมาตรฐาน CEFR ของแบบทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษของหลักสูตรในระดับ A2 อยู่ที่ 26 คะแนน ระดับ B1 อยู่ที่ 64 คะแนน และระดับ B2 อยู่ที่ 84 คะแนน 2) ความถูกต้องภายในของกระบวนการกำหนดมาตรฐานและคะแนนจุดตัดที่กำหนดได้รับการตรวจสอบผ่านการหาค่าสหสัมพันธ์ภายในชั้น (ICC) ของการประเมิน<br />(A2 = .92, B1 = .92 และ B2 = .81) สำหรับความถูกต้องภายนอกได้รับการตรวจสอบผ่านวิธีการสามวิธี สำหรับวิธีที่หนึ่งเป็นการอภิปรายความเหมาะสมของคะแนนจุดโดยตัวแทนอาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร <br />วิธีที่สองคือการเปรียบเทียบการจัดกลุ่มผู้เข้าสอบตามเกณฑ์มาตรฐาน CEFR ของอาจารย์ผู้มีประสบการณ์เคยสอนผู้เข้าสอบกับการจัดกลุ่มโดยการกำหนดคะแนนจุดตัด (ค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน = .63) และวิธีที่สามคือการประเมินความเที่ยงตรงของกระบวนการโดยการถามความเห็นของผู้ประเมินเกี่ยวกับกระบวนการกำหนดมาตรฐานที่ตนได้เข้าร่วม พบว่าผู้ประเมินเห็นด้วยอย่างยิ่ง (คะแนนเฉลี่ย = 3.78) กับกระบวนการกำหนดมาตรฐานในภาพรวม</p> 2025-06-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/281342 การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านโดยใช้สื่อวีดิทัศน์ไมโครเลิร์นนิงแบบมีปฏิสัมพันธ์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์และความคงทนในการเรียนรู้ด้านการวัดและประเมินผลของนักศึกษาวิชาชีพครู 2024-09-12T09:34:38+07:00 นุรซีตา เพอแสละ nurseeta.p@psu.ac.th มัฮดี แวดราแม mahdee.w@psu.ac.th มูฮัมหมัดอาฟีฟี อัซซอลีฮีย์ muhammadafeefee.a@psu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาและทดสอบประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านโดยใช้วีดิทัศน์ไมโครเลิร์นนิงแบบมีปฏิสัมพันธ์: กรณีศึกษารายวิชาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์และความคงทนในการเรียนรู้ของผู้ใช้นวัตกรรมที่พัฒนาขึ้น ตัวอย่างวิจัยที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิตที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้จำนวน 52 คน ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือวิจัย ได้แก่ 1) รายละเอียดของหลักสูตร (มคอ.2) ของหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต 10 หลักสูตร 2) นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้านโดยใช้วีดิทัศน์ไมโครเลิร์นนิงแบบมีปฏิสัมพันธ์ 3) แบบวัดผลสัมฤทธิ์และความคงทนในการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวิจัย ได้แก่ E1/E2 ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับวัตถุประสงค์ ความยากง่าย อำนาจจำแนก และ สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานของค่าเฉลี่ยกรณีประชากรกลุ่มเดียวและการทดสอบสมมติฐานของค่าเฉลี่ยกรณีประชากรสองกลุ่มแบบไม่อิสระต่อกัน จากการวิเคราะห์เนื้อหานำมาสู่แผนการจัดการเรียนรู้แบบห้องเรียนกลับด้าน 14 แผน วีดิทัศน์ไมโครเลิร์นนิงแบบมีปฏิสัมพันธ์ 26 วีดิทัศน์ ผลการตรวจสอบคุณภาพของนวัตกรรมโดยผู้เชี่ยวชาญพบว่ามีระดับคุณภาพเป็นไปตามที่กำหนด เมื่อนำนวัตกรรมทั้งหมดไปทดลองใช้พบว่ามีค่าประสิทธิภาพ 91.27/79.50 จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนในสถานการณ์จริงพบว่าผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ความคงทนของความรู้ลดลงเมื่อสิ้นสุดการเรียนรู้ไปแล้ว 9 สัปดาห์ แต่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> 2025-06-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/282208 การพัฒนาและกำหนดคะแนนจุดตัดมาตรวัดคุณลักษณะความเป็นนวัตกรของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นจังหวัดเชียงใหม่ 2024-10-09T13:44:12+07:00 รัชภูมิ สมสมัย thirayu.inp@mfu.ac.th ถิรายุ อินทร์แปลง thirayu.inp@mfu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ (1) เพื่อพัฒนาตรวจสอบคุณสมบัติทางจิตมิติของมาตรวัดความเป็นนวัตกรของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดเชียงใหม่ (2) เพื่อกำหนดคะแนนจุดตัดมาตรวัดความเป็นนวัตกรของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดเชียงใหม่ตามแนวคิดแผนที่สภาวะสันนิษฐาน และ (3) เพื่อศึกษาระดับคุณลักษณะความเป็นนวัตกรของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดเชียงใหม่ การวิจัยนี้ศึกษากับตัวอย่างการวิจัยเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 จำนวน 300 คน กลุ่มที่ 2 จำนวน 1,000 คน และกลุ่มที่ 3 จำนวน 1,186 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้มาตรวัดคุณลักษณะความเป็นนวัตกรแบบมาตรประมาณค่า 4 ระดับ ทำการตรวจสอบพัฒนาคุณสมบัติทางจิตมิติตามทฤษฎีการทดสอบแบบดั้งเดิม<br />กับแนวคิด การตอบสนองข้อสอบตามโมเดลของราชส์ ผลการวิจัยพบว่า (1) มาตรวัดคุณลักษณะความเป็นนวัตกรมีจำนวน 21 ข้อ แบ่งออกเป็น 7 ด้านมีค่าอำนาจจำแนกระดับปานกลางถึงสูง (r=.49 - .73) <br />อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05มีค่าความเที่ยงอยู่ในระดับสูงถึงสูงมาก ( = .72 - .86) และโมเดลการวัดมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ดัชนีความสอดคล้องรายข้ออยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (Infit, Outfit MNSQ = .79-1.39) (2) สามารถกำหนดคะแนนจุดตัดได้ 2 จุดตัด แบ่งคุณลักษณะความเป็นนวัตกรเป็นจำนวน 3 กลุ่ม ประกอบไปด้วย (1) ระดับมีความเป็นนวัตกรที่เหนือความคาดหวัง (2) ระดับมีความเป็นนวัตกร และ (3) ระดับเริ่มต้นมีความเป็นนวัตกร และ (3) ภาพรวมนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในจังหวัดเชียงใหม่มีคุณลักษณะความเป็นนวัตกรอยู่ในระดับมีความเห็นนวัตกร</p> 2025-06-16T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช