https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/issue/feed วารสารการวัด ประเมินผล สถิติ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์ 2023-12-29T14:42:41+07:00 อาจารย์ ดร. ศุภมาส ชุมแก้ว [email protected] Open Journal Systems <p>วารสารการวัด ประเมินผล สถิติ และการวิจัยทางสังคมศาสตร์ (<strong>ISSN online :</strong> 2730-2466)</p> https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/265493 สารบัญ 2023-12-29T01:36:18+07:00 ศุภมาส ชุมแก้ว [email protected] 2023-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/274282 บทบรรณาธิการ 2023-12-29T01:41:45+07:00 ศุภมาส ชุมแก้ว [email protected] 2023-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/266397 ผลของแรงจูงใจต่อพฤติกรรมการตั้งใจเรียนในห้องเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง 2023-03-05T11:33:26+07:00 ณัฐพร เจนสมุทร์ [email protected] สุมิตรา สิริธุระ [email protected] กรกนก ชัยเลิศ [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของแรงจูงใจที่มีผลต่อพฤติกรรมการตั้งใจเรียนในห้องเรียนของนักศึกษาหลังจากเรียนผ่านระบบออนไลน์ ตัวอย่างวิจัย คือ นักศึกษาในสาขาวิชาดิจิทัลอาร์ต ชั้นปีที่ 3 ระดับปริญญาตรี จำนวน 90 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยคือ แบบวัดพฤติกรรมการตั้งใจเรียน และแบบวัดแรงจูงใจ ผ่านการทดสอบคุณภาพเครื่องมือด้านความเที่ยง มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับ 0.82 และ 0.88 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาที่สำคัญ พบว่า แรงจูงใจด้านความต้องการความสำเร็จและด้านความต้องการความผูกพันสามารถทำนายพฤติกรรมการตั้งใจเรียนในห้องเรียนได้ ร้อยละ 66 (<em>R</em><sup>2</sup> = 0.66) โดยแรงจูงใจด้านความต้องการความสำเร็จมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการตั้งใจเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ (β = .80, <em>p</em> &lt; .05) ขณะที่แรงจูงใจด้านความต้องการความผูกพันมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการตั้งใจเรียนอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (β = .01, <em>p</em> = .81)</p> 2023-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/270111 การพัฒนาแบบวัดสมรรถนะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สำหรับครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี 2023-07-28T17:40:35+07:00 จารุรัตน์ แก้วรอด [email protected] วารุณี ลัภนโชคดี [email protected] สูติเทพ ศิริพิพัฒนกุล [email protected] <p>การวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบวัดสมรรถนะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สำหรับครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เฉพาะ 4 ประการคือ 1) เพื่อสร้างแบบวัดสมรรถนะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2) เพื่อตรวจสอบคุณภาพของแบบวัดสมรรถนะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 3) เพื่อสร้างเกณฑ์ปกติของแบบวัดสมรรถนะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และ 4) เพื่อสร้างคู่มือการใช้แบบวัดสมรรถนะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการตรวจสอบคุณภาพและสร้างเกณฑ์ปกติของแบบวัด ได้แก่ ครูสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษานนทบุรี ปีการศึกษา 2565 จำนวน 487 คน โดยแบบวัดที่สร้างขึ้นประกอบด้วย ข้อคำถาม 45 ข้อ มีลักษณะเป็นข้อคำถามเชิงสถานการณ์ แบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก เพื่อวัดสมรรถนะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 การออกแบบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ องค์ประกอบที่ 2 การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ องค์ประกอบที่ 3 การดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในชั้นเรียน องค์ประกอบที่ 4 การรายงานผลและการนำผลการประเมินไปใช้ และองค์ประกอบที่ 5 จริยธรรมในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ผลการวิจัยที่สำคัญมีดังต่อไปนี้ 1) ความตรงเชิงเนื้อหา พบว่าข้อคำถามในแบบวัดมีค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อคำถามกับนิยามเชิงปฏิบัติการสมรรถนะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (IOC) ตั้งแต่ 0.60 - 1.00 2) ความยากของข้อคำถามมีค่าตั้งแต่ 0.30 - 0.62 3) อำนาจจำแนกของข้อคำถามมีค่าตั้งแต่ 0.38 - 0.91 4) ประสิทธิภาพตัวลวงมีค่าความยากตั้งแต่ 0.06 - 0.46 และมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ - 0.05 ถึง - 0.59 5) ความตรงเชิงโครงสร้างของแบบวัดมีค่าไคสแควร์ (Chi-Square: χ<sup>2</sup>) ที่ df เท่ากับ 58 มีค่าเท่ากับ 72.81 (P=0.091) ค่ารากกำลังสองเฉลี่ยของเศษเหลือในรูปคะแนนมาตรฐาน (Standardized RMR) มีค่าเท่ากับ 0.034 ค่ารากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของความคลาดเคลื่อนโดยประมาณ (RMSEA) มีค่าเท่ากับ 0.027 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) มีค่าเท่ากับ 0.97 และค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับค่าแล้ว (AGFI) มีค่าเท่ากับ 0.95 6) ความเที่ยงของแบบวัด โดยแบบวัดมีค่าความเที่ยงขององค์ประกอบที่ 1 - 5 เท่ากับ 0.748 0.791 0.565 0.546 และ 0.780 ตามลำดับ และความเที่ยงทั้งฉบับมีค่าเท่ากับ 0.895 6) เกณฑ์ปกติสำหรับแปลความหมายคะแนนของแบบวัดในรูปของคะแนนมาตรฐานทีปกติ มีดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 มีค่าตั้งแต่ T37 - T68 องค์ประกอบที่ 2 มีค่าตั้งแต่ T33 - T67 องค์ประกอบที่ 3 มีค่าตั้งแต่ T26 - T67 องค์ประกอบที่ 4 มีค่าตั้งแต่ T31 - T66 และองค์ประกอบที่ 5 มีค่าตั้งแต่ T41 - T66 ส่วนคะแนนของแบบวัดทั้งฉบับมีเกณฑ์ปกติตั้งแต่ T26 - T71 และ 7) คู่มือการใช้แบบวัดสมรรถนะการวัดและประเมินผลการเรียนรู้มีส่วนประกอบสำคัญครบถ้วน อ่านเข้าใจง่าย และสะดวกในการนำไปใช้งาน</p> 2023-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/273279 ปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาเอกชน กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร 2023-11-28T00:44:18+07:00 ศิริพร แก้วหอม [email protected] สุทธิวรรณ ตันติรจนาวงศ์ [email protected] ศจี จิระโร [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยการบริหารที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาเอกชน กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาระดับการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาเอกชน กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการบริหารกับการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาเอกชน กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร และ 4) ศึกษาปัจจัยการบริหารที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาเอกชน กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูในสถานศึกษาเอกชน <br />กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร จำนวน 234 คน ได้จากการเปิดตารางของเครจซีและมอร์แกน ทำการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยการบริหารสถานศึกษา ได้แก่ การกำหนดนโยบายการบริหารและปฏิบัติงาน แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ลักษณะงาน ความสำเร็จของงาน ความสัมพันธ์ภายในองค์กร บรรยากาศภายในองค์กรมีค่าความเที่ยง เท่ากับ .838, .909, .887, .898, .915, .908 ตามลำดับ และการพัฒนาสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 มีค่าความเที่ยง เท่ากับ .975 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการศึกษา พบว่า 1) ปัจจัยการบริหารของสถานศึกษาเอกชน กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านเรียงตามลำดับค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาค่าเฉลี่ยต่ำสุดดังนี้ การกำหนดนโยบายการบริหารและปฏิบัติงาน ลักษณะงาน ความสำเร็จของงาน บรรยากาศภายในองค์กร แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และความสัมพันธ์ภายในองค์กร 2) การพัฒนาสมรรถนะของครูในศตวรรษที่ 21 กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงตามลำดับดังนี้ การบริการที่ดี จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ การพัฒนาผู้เรียน การบริหารจัดการชั้นเรียน การทำงานเป็นทีม และอยู่ในระดับมาก โดยเรียงตามลำดับดังนี้ ภาวะผู้นำครู การมุ่งผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงาน การบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาตนเอง การวิเคราะห์ สังเคราะห์และวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน การสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือกับชุมชน 3) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาของสถานศึกษาเอกชน กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร ในภาพรวมมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 อยู่ในระดับสูง และ 4) ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาเอกชน กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร 4 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ของสถานศึกษาเอกชน กลุ่มเขตกรุงธนใต้ กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .01 ตามลำดับ ได้แก่ บรรยากาศภายในองค์กร ความสำเร็จของงาน ลักษณะงาน และความสัมพันธ์ภายในองค์กร คิดเป็นร้อยละ 51.30</p> 2023-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/272065 Standard Setting in Education: The Nordic Countries in an International Perspective 2023-09-28T02:59:39+07:00 อนุสรณ์ เกิดศรี [email protected] 2023-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/272506 การประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการออกแบบการสุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมในงานวิจัย 2023-10-30T12:41:43+07:00 ณรงค์ ทีปประชัย [email protected] <p>บทความนี้มุ่งนำเสนอสาระเกี่ยวกับแนวคิดพื้นฐานในการสุ่มตัวอย่าง และการประยุกต์ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการออกแบบการสุ่มตัวอย่างที่เหมาะสมในงานวิจัย โดยจะกล่าวถึงลักษณะของกลุ่มตัวอย่างที่ดี กระบวนการสุ่มตัวอย่างการกำหนดขนาดตัวอย่าง วิธีการสุ่มตัวอย่าง และการใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับการสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การใช้งานโปรแกรม Excel for Windows สำหรับสร้างแบบสุ่มตัวอย่างแบบง่าย และการใช้งานโปรแกรม G*Power สำหรับคำนวณหาขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ถูกต้องและทันสมัยเป็นสากล ซึ่งแต่ละโปรแกรมดังกล่าวนั้นมีลักษณะเฉพาะและมีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกัน ผู้วิจัยต้องพิจารณาเลือกนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับงานวิจัย เพื่อให้การสุ่มตัวอย่างมีความถูกต้อง สะดวก รวดเร็ว ประหยัดทั้งเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่าย อันจะส่งผลทำให้การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูลมีความรวดเร็ว ถูกต้อง และได้ผลการวิจัยที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือได้</p> 2023-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช https://so03.tci-thaijo.org/index.php/mesr/article/view/271331 การประยุกต์ใช้ชุดคำสั่ง “WrightMap”ในโปรแกรม R สำหรับการกำหนดคะแนนจุดตัดและคำบรรยาย 2023-10-04T21:06:10+07:00 ถิรายุ อินทร์แปลง [email protected] <p>การกำหนดคะแนนจุดตัดตามแนวคิดของ Benjamin Drake Wright เป็นแนวคิดที่อาศัยทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบของราช์สแล้วกำหนดคะแนนจุดตัดบนแผนที่โครงสร้าง หลังจากนั้นฉายภาพความสามารถบนแผนที่สภาวะสันนิษฐาน พร้อมคำบรรยายประกอบ สารสนเทศจากแผนที่สภาวะสันนิษฐานเป็นข้อมูลสำคัญที่ให้ผู้ใช้ผลการประเมินสามารถกำหนดสิ่งต่าง ๆ เช่น แนวทางการพัฒนาผู้เรียน การจำแนกกลุ่มบุคคลเพื่อเข้าโปรแกรมพัฒนาในมิติต่าง ๆ จากแนวคิดดังกล่าว Mark Wilson และคณะได้ร่วมกันสร้างพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า “ConQuest” ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนา ณ สภาการวิจัยทางการศึกษาออสเตรเลีย โปรแกรมสามารถประมวลผลการวัดเพื่อนำมากำหนดคะแนนจุดตัดและฉายภาพความสามารถอย่างเป็นรูปธรรมทำให้ผลการวัดมีความหมายเป็นประโยชน์และถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามท่ามกลางการพัฒนาวิทยาการคำนวณและข้อมูลสารสนเทศจึงมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ใช้ประมวลผลแนวคิดแผนที่สภาวะสันนิษฐาน นอกจากซอฟต์แวร์ ConQuest ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปี ค.ศ. 2020 ยังมีนักวิชาการอื่น ๆ ได้พัฒนาชุดคำสั่ง “WrightMap” สำหรับโปรแกรม R ในปี ค.ศ. 2022 นอกจากนี้สภาการวิจัยทางการศึกษาออสเตรเลียได้พัฒนาชุดคำสั่ง “Conquestr” สำหรับโปรแกรม R ในปี ค.ศ. 2023 จะเห็นได้ว่ามีการพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันโดยมีแนวโน้มพัฒนาโปรแกรมเป็นประเภทที่ต้องป้อนคำสั่งด้วยภาษาคอมพิวเตอร์และโค้ดคอมพิวเตอร์ โปรแกรม R เป็นโปรแกรมประเภทป้อนคำสั่งด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ดังนั้นบทความวิชาการนี้จึงมีความมุ่งหมายที่จะอธิบายถึงมโนทัศน์สำคัญของแผนที่สภาวะสันนิษฐานประกอบไปด้วย ความเป็นมา แนวคิดหลักการ ความสำคัญ และลักษณะของแนวคิดแผนที่สภาวะสันนิษฐานประกอบกับการใช้ชุดคำสั่ง “WrightMap” ในการประมวลผล อีกทั้งยังนำเสนอวิธีการใช้โปรแกรมกำหนดคะแนนจุดตัด การฉายภาพแผนที่สภาวะสันนิษฐานแบบเอกมิติและพหุมิติ ตลอดจนตัวอย่างการเขียนรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูลนอกจากนี้ยังมีตัวอย่างชุดคำสั่งและข้อมูลให้ฝึกทดลองประมวลผล</p> 2023-12-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2023 สำนักทะเบียนและวัดผล มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช