https://so03.tci-thaijo.org/index.php/masscomm/issue/feed
วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ
2024-12-23T11:44:26+07:00
Assistant Professor Siwaporn Sukittanon, Ph.D.
journalmc.cmu@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong>วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ</strong></p> <p>เป็นวารสารวิชาการที่จัดทำโดยคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ผ่านการรับรองคุณภาพวารสาร Thai-Journal Citation Index: TCI Group II</p> <p>มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์<br />และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาด้านการสื่อสารมวลชน วารสารศาสตร์ นิเทศศาสตร์และสาขาอื่นๆ ที่มีผลงานเกี่ยวเนื่องกับศาสตร์ทางด้านนี้ และเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการวิจัย รวมทั้งการพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านการสื่อสารในสาขาวิชาต่างๆ มากขึ้น</p> <p><span lang="th">กำหนดการตีพิมพ์เผยแพร่ปีละ 2 ฉบับ ได้แก่<br /></span><span lang="th">- ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน กำหนดเผยแพร่ในเดือน มิถุนายน<br />- ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม กำหนดเผยแพร่ในเดือน ธันวาคม</span></p> <p><strong>ISSN: <span class="WdYUQQ text-decoration-none text-strikethrough-none">2985-0665</span> (Print) </strong><strong>ISSN: <span class="WdYUQQ text-decoration-none text-strikethrough-none">2985-0673 </span>(Online)</strong></p>
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/masscomm/article/view/275462
การทำงานภาพยนตร์ข้ามอุปสรรคทางวัฒนธรรมและภาษา: กรณีศึกษาโครงการภาพยนตร์สั้นอิสระไทยและญี่ปุ่นเรื่อง “Afterglow”
2024-03-06T09:43:10+07:00
วิโรจน์ สุทธิสีมา
viroj352@hotmail.com
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกระบวนการทำงานร่วมระหว่างผู้ไม่รู้ภาษาและวัฒนธรรมของกันและกัน เพื่อทำให้เกิดการสร้างผลผลิตร่วมทางวัฒนธรรมเป็นภาพยนตร์สั้นอิสระระหว่างไทยและญี่ปุ่น และเพื่อประเมินผลผลิตจากวิธีการทำงานดังกล่าวผ่านการตีความของผู้ชมชาวไทย ระเบียบวิธีวิจัยประกอบไปด้วย 1) การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) โดยตัวผู้วิจัยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการผลิตผลงานและหาทางแก้ไขปัญหาทางภาษาและวัฒนธรรม โดยมีเทคนิคการเก็บข้อมูลแบบสังเกตอย่างมีส่วนร่วม 2) การสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) และ 3) แบบสอบถาม (questionnaire) กับกลุ่มผู้ชมภาพยนตร์</p> <p>ผลการศึกษาเผยให้เห็นว่า ในการก้าวข้ามอุปสรรคทางภาษาและวัฒนธรรมเพื่อผลิตภาพยนตร์สั้นร่วมกันระหว่างไทยและญี่ปุ่น สามารถทำได้แม้ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ภาษาของกันและกัน ตลอดจนใช้ภาษาสากล(ภาษาอังกฤษ) ได้ไม่ราบรื่น ด้วยกลยุทธ์ทางการสื่อสารอันได้แก่ 1) การเตรียมตัวล่วงหน้าโดยใช้เอกสารและแอปพลิเคชันทางภาษาอย่างละเอียด 2) การจัดหาผู้ประสานงานทางภาษาตามแต่โอกาสเอื้ออำนวย 3) การปรับตัวทางวัฒนธรรมในแบบคงเอกลักษณ์แต่พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ 4) การปรับทัศนคติและพฤติกรรมทางการสื่อสารเพื่อบรรยากาศในการทำงาน</p> <p>เมื่อนำภาพยนตร์มาจัดฉายเพื่อประเมินความเข้าใจในผลผลิตที่เกิดจากการทำงานข้ามวัฒนธรรมผ่านผู้ชมชาวไทย พบว่า มีความเข้าใจในโครงเรื่อง (plot) ความเข้าใจในแก่นความคิด (theme) ความเข้าใจในตัวละครหลัก (main characters) ความเข้าใจในความขัดแย้ง (conflict) ความเข้าใจในจุดยืน การเล่าเรื่อง (point of view) ความเข้าใจในการเลือกฉาก (setting) ความเข้าใจในสัญลักษณ์ (symbol) อยู่ในระดับดีทั้งหมด ผลการวิจัยดังกล่าวทำให้เกิดข้อค้นพบว่า ในบริบทที่แนวโน้มการทำงานข้ามวัฒนธรรมและข้ามภาษาของตนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จะเพิ่มมากขึ้นในระดับโลก การทำงานแบบอิสระซึ่งมีงบประมาณไม่สูงนักและทีมงานไม่ชำนาญทางภาษาอื่นยังสามารถเป็นไปได้ ผ่านการเตรียมตัวที่ดี การปรับตัวให้มีประสิทธิภาพทางการสื่อสารกับทีมงานกลุ่มเล็ก การเพิ่มความรู้และความคิดในทางวัฒนธรรมและภาษาอื่น และการวางแผนแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/masscomm/article/view/276954
แนวคิดและรูปแบบการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ: กรณีศึกษาภาพยนตร์ไทย ที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ในช่วงปี พ.ศ. 2553 - 2563
2024-09-09T09:42:21+07:00
ชนินทร์รัตน์ เอกสมุทร
jjchaninrut@gmail.com
รินบุญ นุชน้อมบุญ
jjchaninrut@gmail.com
<p>การวิจัยเรื่อง “แนวคิดและรูปแบบการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ: กรณีศึกษาภาพยนตร์ไทยที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ในช่วงปี พ.ศ. 2553 - 2563” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวคิดและรูปแบบการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษในภาพยนตร์ไทยที่ได้รับรางวัลภาพยนตร์แห่งชาติสุพรรณหงส์ สาขาเทคนิคพิเศษการแต่งหน้ายอดเยี่ยม (best makeup effects) ในช่วง พ.ศ. 2553 - 2563 เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์ภาพตัวละครหลักที่มีการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษและการสัมภาษณ์นักออกแบบการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษจากภาพยนตร์ไทยที่ได้รับรางวัล ซึ่งภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทภาพยนตร์สยองขวัญเป็นหลัก ผลการวิจัย พบว่า แนวคิดหลักในการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ เกิดจากการศึกษาบทภาพยนตร์ และวิเคราะห์ตัวละครที่มีการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ โดยมักนำเสนอตัวละครที่ถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตและกลายเป็นวิญญาณที่มีความอาฆาตแค้น แสดงตนในรูปลักษณ์ที่ดูน่ากลัว อีกทั้งแนวคิดในการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ ยังเกิดจากการประชุมร่วมกับผู้กำกับภาพยนตร์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านต่าง ๆ การหาข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงร่วมกับจินตนาการและประสบการณ์ของนักออกแบบการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ ในส่วนรูปแบบการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ พบว่า ประเภทการแต่งหน้าเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์ตัวละครให้กลายเป็นผีที่มีบาดแผลตามร่างกายเป็นประเภทที่พบได้มากที่สุด ในด้านกระบวนการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษ มีการนำหลักองค์ประกอบทางศิลป์มาประยุกต์ใช้ในลักษณะที่ต่างกัน มีการใช้เทคนิคพิเศษในการแต่งหน้าตัวละคร 2 เทคนิคหลัก ได้แก่ เทคนิคที่สามารถตกแต่งลงบนผิวของนักแสดงได้ทันที และเทคนิคที่มีการทำชิ้นเนื้อเทียมรวมทั้ง ยังค้นพบวิธีการแก้ปัญหาด้านงบประมาณที่จำกัดของนักออกแบบการแต่งหน้าเทคนิคพิเศษกับการแต่งหน้าในงานภาพยนตร์ไทยที่ได้รับรางวัล</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/masscomm/article/view/278125
กลยุทธ์การนำเสนอเนื้อหาและการตลาดผ่านเกมออนไลน์: กรณีศึกษา Arena of Valor และ League of Legends
2024-08-05T10:23:35+07:00
ชัชชนนท์ ศรีลาภสมบัติ
chatchanon1512@gmail.com
ธีรติร์ บรรเทิง
teerati.ban@nida.ac.th
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ 1. เพื่อศึกษาการนำเสนอเนื้อหาของเกมออนไลน์ Arena of Valor และ League of Legends 2. เพื่อศึกษาการตลาดของเกมออนไลน์ Arena of Valor และ League of Legends 3. เพื่อเปรียบเทียบความสอดคล้องและความแตกต่างของการนำเสนอเนื้อหาและการตลาดของเกมออนไลน์ Arena of Valor และ League of Legends พัฒนาแนวทางการศึกษาโดยใช้ 1. แนวคิดเกี่ยวกับการตลาดเชิงเนื้อหา 2. แนวคิดเกี่ยวกับกลยุทธ์การสื่อสาร ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากการวิเคราะห์เนื้อหาและการวิจัยเอกสาร</p> <p>ผลงานวิจัยพบว่า การนำเสนอเนื้อหาของเกมออนไลน์มีเนื้อหาของเกมที่คล้ายคลึงกันคือเนื้อหาเพื่อความรู้ การตลาดของเกมออนไลน์ แบ่งออกเป็น 4 องค์ประกอบ 1) ช่วงเวลาในการลงเนื้อหาแตกต่างกัน 2) รูปแบบการสื่อสารที่พบส่วนมากคือข้อความบนรูปภาพ 3) วิธีการทำให้ประชาชนเข้าถึงมากขึ้นที่ได้รับผลตอบรับดีคือแฮชแท็ก 4) กลยุทธ์ทางการตลาดที่สำคัญคือการแข่งขัน E-sport ด้านความสอดคล้องและความแตกต่างของการนำเสนอเนื้อหาและการตลาด ความสอดคล้องพบว่าเกมออนไลน์ทั้งสองรูปแบบ มุ่งเน้นไปที่เนื้อหาเพื่อความบันเทิงและเนื้อหาเพื่อความรู้ ส่วนความแตกต่างพบว่า Arena of Valor เน้นนำเสนอเนื้อหาการทำให้ตระหนักถึงปัญหาหรือแก้ไขปัญหา League of Legends เน้นเนื้อหาการสร้างความน่าเชื่อถือ </p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/masscomm/article/view/277645
แนวทางการปรับตัวและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับนักครีเอทีฟในสร้างผลงานในการตลาดดิจิทัล
2024-07-15T14:48:36+07:00
ณัฏฐ์วัฒน์ ธนพรรณสิน
permporn89@gmail.com
สิริพร ฑิตะลำพูน
permporn89@gmail.com
เพิ่มพร ณ นคร
permporn89@gmail.com
<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลกระทบของการตลาดดิจิทัลที่มีต่อกระบวนการทำงานและเนื้อหาของผลงานครีเอทีฟ วิเคราะห์ความท้าทายที่นักครีเอทีฟต้องเผชิญในการตลาดดิจิทัล และเสนอแนวทางการปรับตัวและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับนักครีเอทีฟในการตลาดดิจิทัล เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกกับแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 12 คน ได้แก่ นักครีเอทีฟในอุตสาหกรรมโฆษณา จำนวน 6 คน นักการตลาดและนักวิชาการทางด้านการตลาด จำนวน 6 คน ที่เคยผลิตผลงานโฆษณาในช่วง พ.ศ. 2562-2566 อย่างน้อย 3 เรื่อง การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้การสร้างข้อสรุปเป็นกรอบแนวคิดแบบอุปนัย เพื่อศึกษาปรากฏการณ์พิสูจน์และวิเคราะห์สังเคราะห์เป็นข้อสรุปในการตีความ ผลการศึกษาพบว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของสื่อดิจิทัลและแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ส่งผลกระทบต่อกระบวนการทำงานและเนื้อหาของผลงานครีเอทีฟในการตลาดดิจิทัลมากที่สุด ความท้าทายที่นักครีเอทีฟต้องเผชิญในการตลาดดิจิทัลมากที่สุด คือ การปรับมุมมองและเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างนักการตลาดและนักครีเอทีฟเพื่อรักษาอัตลักษณ์ และมาตรฐานในการสร้างสรรค์ผลงานสร้างสรรค์ ในที่สุดได้แนวทางการปรับตัวและพัฒนาทักษะที่จำเป็นสำหรับนักครีเอทีฟในการตลาดดิจิทัลที่สำคัญ คือ การปรับมุมมองและเรียนรู้ซึ่งกันและกันของนักการตลาดและนักครีเอทีฟลดความขัดแย้งและก่อให้เกิดการทำงานร่วมกันที่ราบรื่น</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/masscomm/article/view/276529
ภาพตัวแทนของศิลปินวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอตบนสื่อสังคมออนไลน์
2024-04-03T15:53:07+07:00
ศลิษา อัษฏเมธี
salisa_at@cmu.ac.th
จิรเวทย์ รักชาติ
jirawate.rugchat@cmu.ac.th
<p>งานวิจัยเรื่อง ภาพตัวแทนของศิลปินวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอตบนสื่อสังคมออนไลน์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาภาพตัวแทนของกลุ่มศิลปินวงบีเอ็นเคโฟร์ตีเอตที่ปรากฏผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์ตัวบท (textual analysis) และทำการคัดเลือกแหล่งข้อมูลในรูปแบบเว็บไซต์ผ่านการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) โดยทำการคัดเลือกเฉพาะเนื้อหาตามประเด็นเหล่านี้ ได้แก่ 1) ข่าวการได้รับรางวัล หรือการได้รับเลือก 2) ข่าวการเลือกตั้งทั่วไปเซ็มบัตสึ 3) ข่าวการจบการศึกษา และ 4) ประเด็นขัดแย้งต่าง ๆ ของศิลปิน ทั้งนี้การเก็บข้อมูลข่าวย้อนหลังจะเริ่มศึกษาและเก็บข้อมูลตั้งแต่ พ.ศ. 2561 – 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มศิลปินถูกพูดถึงบนสื่อสังคมออนไลน์มากที่สุด จากแฟนเพจบนเฟซบุ๊ก (Facebook) https://www.facebook.com/bnk48official</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ศิลปินบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต ถูกทำให้ปรากฏในภาพตัวแทนของผู้หญิงที่เป็นลักษณะของไอดอลญี่ปุ่น-ไทย จากกรณีของข่าวการได้รับรางวัลที่มีลักษณะของบุคคลที่เป็นตัวแทนของเยาวชนที่มีความประพฤติตนดี เป็นภาพตัวแทนของไอดอลที่บุคคลทั่วไปและสังคมยอมรับ โดยส่งผลให้ศิลปินในฐานะไอดอลกลายเป็นผู้นำกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มแฟนคลับให้ปฏิบัติตามค่านิยมที่สะท้อนภาพตัวแทนของผู้หญิงในแบบที่สังคมยอมรับ รวมถึงภาพตัวแทนของผู้หญิงที่มีความพยายามในการแข่งขันจากกรณีของข่าวการเลือกตั้งทั่วไปเซ็มบัตสึ เป็นการแสดงให้เห็นถึงภาพตัวแทนของผู้หญิงหัวสมัยใหม่ในด้านของการก้าวเข้าสู่พื้นที่ของการทำงานที่แข่งขันเพื่อให้ประสบความสำเร็จในด้านอุตสาหกรรมบันเทิง ในส่วนของข่าวการจบการศึกษา เป็นการสิ้นสุดของสถานะของความเป็นตัวแทนของผู้หญิงในฐานะของศิลปินกลุ่มบีเอ็นเคโฟร์ตีเอต ดังนั้น การจบการศึกษาของไอดอลจึงมีความหมายของการหมดอายุของผู้หญิงวัยสาวในฐานะของสินค้าทางวัฒนธรรม ส่วนประเด็นขัดแย้งต่าง ๆ ของศิลปิน แสดงให้เห็นถึงการควบคุมศิลปินในลักษณะของการแสดงออกในพื้นที่ส่วนตัว เพื่อไม่ให้มีคุณลักษณะหรือภาพลักษณ์ใดที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดจากต้นสังกัด</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/masscomm/article/view/276143
การสื่อสารเพื่อการรณรงค์แก้ไขปัญหาฝุ่นควันของสภาลมหายใจเชียงใหม่
2024-04-10T16:00:34+07:00
ขวัญพร ไวว่อง
khwanporn.waiwongg@gmail.com
ขวัญฟ้า ศรีประพันธ์
kwanfa.s@cmu.ac.th
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารเพื่อการรณรงค์แก้ไขปัญหาฝุ่นควันของสภาลมหายใจเชียงใหม่ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (in-depth interview) ผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ประธาน รองประธาน เจ้าหน้าที่รณรงค์และวิชาการ เจ้าหน้าที่รณรงค์และเผยแพร่ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารของสภาลมหายใจเชียงใหม่ จำนวน 5 ท่าน ร่วมกับการศึกษาข้อมูลจากเอกสาร เพจเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ ในช่วง พ.ศ. 2564 – 2566</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า สภาลมหายใจเชียงใหม่ทำการรณรงค์เพื่อแก้ปัญหา ฝุ่นควัน 3 ขั้นตอน ดังนี้ 1. การประเมินความต้องการ เป้าประสงค์ และความสามารถในการตอบสนองของกลุ่มเป้าหมาย 2 ระดับ ได้แก่ ประชาชนทั่วไป โดยพิจารณาความคิดเห็นบนเพจเฟซบุ๊กและเว็บไซต์ของสภาลมหายใจเชียงใหม่ และหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่าย โดยสอบถามความคิดเห็นจากการพูดคุย หรือการประชุม 2. การกำหนดแผนการรณรงค์และสร้างสื่อ พบว่า สภาลมหายใจเชียงใหม่ มีการวางแผน 3 ระยะ ได้แก่ แผนระยะยาว แผนระยะกลาง และแผนระยะสั้น โดยเนื้อหาของแผนมุ่งเน้นและให้ความสำคัญเรื่อง 1) การสื่อสาร เพื่อลดปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 2) การสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ ความตระหนักรู้ จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของภาคประชาชน และ 3) การเป็นสื่อกลางในการประสานการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน การใช้สื่อและกิจกรรม ประกอบด้วย สื่อบุคคล สื่อมวลชน สื่อเฉพาะกิจ สื่อกิจกรรม และ สื่อใหม่ โดยใช้กลยุทธ์และรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาการรณรงค์ คือ การเน้นย้ำ การใช้สารที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การนำเสนอด้วยสารที่น่าเชื่อถือ และการใช้สื่อที่หลากหลาย มุ่งเน้นการโน้มน้าวใจเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยการใช้สารที่เป็นเหตุผล สารที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก และจุดจูงใจโดยใช้อารมณ์ร่วม 3. การประเมินผลการรณรงค์มี 3 ระยะ ได้แก่ 1) การประเมินผลก่อนการรณรงค์ 2) การประเมินผลระหว่างการรณรงค์ 3) การประเมินผลหลังการรณรงค์ ทั้งนี้ตัวแบบการสื่อสารเพื่อการรณรงค์แก้ปัญหาฝุ่นควันในอนาคตควรเน้นการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันอย่างยั่งยืน การใช้สื่อใหม่ในการสื่อสารกับประชาชนทั่วไปและเกษตรกร และควรสื่อสารเรื่องการจัดการไฟป่าเพื่อให้ทราบถึงวิธีการจัดการไฟป่าที่ถูกต้อง</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/masscomm/article/view/279575
ปัจจัยด้านคุณลักษณะตราสินค้ากาแฟท้องถิ่นภาคเหนือไทยที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคกาแฟของประชาชนจังหวัดเชียงใหม่
2024-07-15T09:23:30+07:00
ณัฐพล จันดาแก้ว
thetop_no1@hotmail.com
กรวรรณ กฤตวรกาญจน์
Thetop_no1@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัย 1) ศึกษาการรับรู้คุณลักษณะตราสินค้ากาแฟท้องถิ่นภาคเหนือไทยของประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ 2) ศึกษาคุณลักษณะตราสินค้าที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคกาแฟท้องถิ่นภาคเหนือไทย และ 3) ศึกษาปัจจัยด้านคุณลักษณะตราสินค้ากาแฟท้องถิ่นภาคเหนือไทยที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคกาแฟของประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ การศึกษาวิจัยเป็นการศึกษาเชิงปริมาณในประเภทของแบบสำรวจ เครื่องมือที่ใช้ในแบบสอบถาม จำนวน 400 ชุด เลือกใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น โดยใช้วิธีแบบการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงกับกลุ่มตัวอย่างคือประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไปที่บริโภคกาแฟ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ และสหสัมพันธ์ </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) การรับรู้คุณลักษณะตราสินค้าจากกาแฟท้องถิ่นภาคเหนือไทยของประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ ลำดับแรก คือ การสร้างอัตลักษณ์ในตราสินค้า การรับรู้อยู่ในระดับมาก 2) คุณลักษณะตราสินค้าที่มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคกาแฟท้องถิ่นภาคเหนือไทย ลำดับแรก คือ การสร้างบุคลิกภาพในตราสินค้า การตัดสินใจบริโภคอยู่ในระดับมาก และ 3) การรับรู้คุณลักษณะตราสินค้ากาแฟท้องถิ่นภาคเหนือไทย กับการตัดสินใจบริโภคกาแฟของประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ สามารถพยากรณ์ได้ตามสมการ คือ y = 1.825 + .205X<sub>1</sub>" + .118X<sub>2</sub>" + .114X<sub>3 </sub> ซึ่งตัวแปรทั้งสองมีความสัมพันธ์กันปานกลาง (R = 0.48) พบว่า การสร้างการวางตำแหน่งในตราสินค้า การสร้างบุคลิกภาพในตราสินค้า และการสร้างภาพลักษณ์ในตราสินค้า มีผลต่อการตัดสินใจบริโภคกาแฟของประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/masscomm/article/view/276429
การสังเคราะห์สมรรถนะการรู้เท่าทันนวัตกรรมสื่อดิจิทัลร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
2024-05-13T09:48:01+07:00
เกรียงไกร พละสนธิ
kriangkrai.p@mail.rmutk.ac.th
พงศกร พรวีรสุนทร
645021600194@mail.rmutk.ac.th
<p>บทความวิชาการเรื่อง การสังเคราะห์สมรรถนะการรู้เท่าทันนวัตกรรมสื่อดิจิทัลร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เป็นการสังเคราะห์ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการรู้เท่าทันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อสร้างแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและพัฒนาการรู้เท่าทันนวัตกรรมสื่อดิจิทัลร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ทั้ง 4 ด้านประกอบด้วย 1) การเข้าถึงอย่างมีความรู้ 2) การเข้าใจในการประยุกต์ใช้งาน 3) การสร้างและการประเมิน และ 4) การมีปฏิสัมพันธ์อย่างมีจริยธรรม นอกจากนี้ผู้เขียนได้ศึกษาทฤษฎีเกี่ยวกับนวัตกรรมสื่อ และทฤษฎีเกี่ยวกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ โดยกำหนดวิธีการและระบบการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมการรู้เท่าทันนวัตกรรมสื่อดิจิทัลร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ และบูรณาการทฤษฎีเชิงระบบ ประกอบด้วย 1) ปัจจัยนำเข้า 2) กระบวนการ 3) ผลลัพธ์การเรียนรู้ 4) ผลลัพธ์และคุณค่า และ 5) ผลกระทบของการเรียนรู้ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล</p>
2024-12-23T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2024 วารสารการสื่อสารและสื่อบูรณาการ